เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ดรุณีศึกษาfemsamyan เฟมสามย่าน
ดรุณีศึกษา
  •          เด็กชายดรุณเกิดในฤดูหนาวกลางเดือนธันวาคม ช่วงที่อุณหภูมิของกรุงเทพแตะเลขสอง 

             เสียงร้องเต็มปอดดังลั่น แพทย์ผ่าตัดตรวจสภาพร่างกายและระบุเพศลงไปในใบเกิด 

                 ชั่วโมงแรก เด็กน้อยหลับพริ้มในอ้อมกอดของผ้าสีขาว ทารกดูสะอาดตาไร้มลทิน ช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

             พอสองเท้าก้าวเตาะแตะได้ ดรุณก็กลายเป็นดวงใจของหมู่บ้าน ใครต่อใครก็รัก เด็กน้อยมีดวงตาที่สุกใสเป็นประกาย ราวกับกลุ่มดาวหมีใหญ่ ในตอนนั้น เขารู้จักแค่เพียงการถูกรัก มากมายเสียจนล้นใจ

             ทุก ๆ วัน เด็กชายดรุณตัวจ้อยสวมชุดนักเรียนอนุบาล เดินผ่านถนนหน้าบ้าน ทักทายคุณป้าร้านของชำ ก้มหัวสวัสดีอาม่าร้านขนมหวาน หญิงชราใจดีก็จะหยิบแท่งตังเมให้เขาเป็นรางวัล ดรุณเป็นเด็กนอบน้อม โบกมือให้แม้แต่สุนัขที่คำรามใส่ ส่งยิ้มให้ดอกเฟื่องฟ้าและชบาสีสดตรงหัวมุมถนน

             จนเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา ดรุณถึงได้รู้จักความชิงชัง เขาเกลียดสนามหญ้าที่โล่งเตียนอยู่กลางแจ้ง แผดเผาด้วยแสงอาทิตย์ เขาเกลียดลูกทรงกลม ไม่ว่าจะเป็นลูกฟุตบอล ลูกบาส หรือลูกเทนนิส ทรงกลมควบคุมยาก ต่างจากสี่เหลี่ยมผืนผ้า เช่นโต๊ะและหนังสือ 

    ด้วยเหตุนี้ ดรุณจึงเกลียดกีฬาเป็นที่สุด แต่จะสำคัญอะไรเล่า 

    เขาหนีมันไม่พ้นอยู่ดี

             ครั้งหนึ่งในคาบพลศึกษา ดรุณฝืนใจเตะลูกบอลให้เข้าประตู เขาได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจ แม้จะล้มลงเข่ากระแทก เขาก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะสะใจ ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง ดรุณจึงเรียนรู้ว่า พวกเขาไม่ได้ชอบใจที่ดรุณยิงลูกทำคะแนน ไม่ได้สะใจที่เห็นเขาเจ็บตัวเลือดออก แต่คนพวกนั้นเริงใจที่ได้เห็นคนอย่างดรุณวิ่งอย่างทุลักทุเลไปทั่วทั้งสนาม สะดีดสะดิ้งบิดแขนจีบมือ หรือร้องแหลมแสบแก้วหูไม่สมชาย

             ดรุณกลายเป็นความบันเทิงใจ แม้ไม่ได้ตั้งใจ 

                 อายุเพียงหกขวบ ดรุณเป็นตัวตลก ที่ตัวตน ไม่ใช่การกระทำ

             พอเข้าประถมปลาย ดรุณถึงได้รู้จักความรัก ไม่ใช่ความรักแบบที่เด็กชายคนหนึ่งในห้องมีต่อเขา ดรุณรักแม่ ไม่มีอ้อมกอดใดจะอบอุ่นเท่าอุทรแห่งมารดา แต่เล็กสองแม่ลูกเที่ยวเดินทอดน่องจับจ่ายสินค้า ดรุณเห็นคุณแม่ซื้อแชมพูบำรุงผมให้เงางามและยาวสลวย เห็นคุณแม่สวมกระโปรงทรงกระบอกรับส้นสูงสามนิ้ว

             ดรุณเคยถามคุณแม่ว่า เดินเขย่งเท้าแบบนั้นเจ็บไหม เสียงอ่อนโยนตอบเบา ๆ ว่า ถึงเจ็บก็คุ้มค่า รองเท้าทำให้แม่สูงใหญ่ ใครต่อใครก็จะเกรงใจด้วยความน่าเกรงขาม ดรุณจดจำและเรียนรู้

             ในวัยเยาว์ดรุณรักแม่ ดรุณรักเสื้อผ้าและการประทินผิวเหมือนคุณแม่ ด้วยอยากเป็นเหมือนท่าน

             หลายปีต่อมา ดรุณก็ยังคงเงยหน้ามองผู้หญิงมากมาย ดรุณอยากเป็นเหมือนพวกเขา ดรุณอยากเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา

             “แต่ดรุณเป็นชาย” คุณป้าร้านของชำบอก “ดรุณควรทำตัวให้สมกับที่เป็นชาย” ดรุณปฏิเสธ

             เขารู้อยู่ว่าสิ่งใดคือความรัก สิ่งใดคือความชิงชัง 

    เขารักการบำรุงโฉมให้เหมือนหญิง แต่ไม่ใช่แค่วัตถุหรือเพียงร่างกาย เพราะสิ่งซ่อนเร้นคือความหมายที่มีค่ายิ่งกว่า สำหรับดรุณ ส้นสูงคือความเข้มแข็ง เส้นผมม้วนลอนคือความอ่อนโยน

             ดรุณรักและรับความเป็นหญิง แม้ไม่อาจบิดแก้กระดูก หรือตัดต่อโครโมโซม แต่เขาอาจจดจำคำพูดคำพร่ำสอน วิถีชีวิต ตลอดจนการมองโลก จากมารดาและผู้หญิงนับไม่ถ้วน ที่อยู่มาก่อนหน้าได้

             อีกข้อนึงคือดรุณชิงชังความไม่รู้ เขาเกลียดมนุษย์ที่เย้ยหยันคนอื่นเพียงเพราะไม่เข้าใจ ดรุณตอบสนองต่อมัน เสียงหัวเราะเสียดแทงไปทั่วร่าง แม้มันจะไม่ได้พุ่งตรงมาหาเขา แต่ดรุณเจ็บช้ำ หวาดกลัว ตัวสั่นงันงกทุกครั้งที่ได้ยิน

             ดรุณยังจำได้ดี สาเหตุที่พวกเขาล้อเลียน 

                 “แปลก” ใครคนหนึ่งว่าไว้  “กายภายนอกไม่สัมพันธ์กับจิตใจภายใน” ฟังครั้งแรกดรุณนึกสงสัย เขาไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ ว่าตัวเองดูเป็นอย่างไร

             แต่เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น ดรุณก็เปลี่ยนไป

             สองตามองดูในกระจก แววตาวูบไหวสบปะทะกัน ดรุณมองเห็นเพียงกายมนุษย์ที่ผิดประหลาด บิดเบี้ยว ไม่ถูกต้อง เขาไล่พิศดูพิจารณา เส้นขนอ่อนบนใบหน้าข่างดูรุงรังและสกปรก ทั้งกระดูกหัวไหล่และไหปลาร้าโหลลึก ทำให้ดูร่างใหญ่เทอะทะไม่สมประกอบ ส่วนหน้าอกก็แบนราบว่างเปล่า เส้นผมก็สั้นเตียนด้วยถูกบังคับให้ตัดออกไป ดรุณเข้าใจแล้วว่าร่างกายของเขาบกพร่องอย่างไร

             ดรุณไม่เคยคิด ว่าวันหนึ่งสิ่งที่เขาชิงชังจะเป็นร่างกายของตัวเอง

             กำแพงที่ขวางกั้นระหว่างดรุณกับความเป็นหญิงคือร่างกายของเขาเอง ความจริงข้อนี้ทำให้ดรุณเจ็บปวด

             เมื่อเข้ามัธยมปลาย ดรุณปรารถนาจะเปลี่ยนแปลง จานมื้อกลางวันจากที่เคยพูน ๆ ด้วยข้าวหอม บัดนี้ลดลงกึ่งหนึ่งเพราะดรุณอยากผอม สำหรับเด็กหนุ่มอย่างเขา ส่วนเว้าโค้งที่ช่วงเอวเป็นเรื่องชวนฝัน ดรุณจึงลองใช้ผ้าสำหรับรัดกล้ามเนื้อมาพันรอบเอว กระชากดึงทึ้งให้มันตอบรัดกึ่งกลางร่างจนสมใจ ดรุณก็เลยมีช่วงเอวคอด แลกกับความเจ็บปวดจนทนไม่ไหว

             มีวันหนึ่ง ดรุณลองม้วนแผ่นกระดาษชำระแล้วสอดไว้ใต้เสื้อกล้าม หวังจะสร้างหน้าอกทรงบัวตูมด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ผลดีสักเท่าไหร่ ซ้ำร้ายยังเป็นเรื่องตลกขบขันในวงสนทนาของกลุ่มเพื่อนไป

             ยามปลีกวิเวก ดรุณนั่งคิดในใจ “ไม่มีทางที่ดีกว่านี้แล้วหรอ”

             ถนนหน้าบ้านโล่งเตียนชวนเหงาใจ ตั้งแต่อาม่าร้านขนมหวานจากไป ดรุณก็ไม่ได้รับของรางวัล ไม่มีตังเมหนึ่งชิ้นให้กับความนอบน้อม อันที่จริง ไม่มีของรางวัลใด ๆ ให้กับการกระทำตามปรกติอีกแล้ว เขาจมจ่อมอยู่ในความรู้สึก แบกทุกข์บนบ่า เศร้าในดวงใจ ดรุณที่มีอายุ 17 ปี บกพร่องและขาดวิ่น กลวงและว่างเปล่า ต่างจากทารกน้อยคนนั้นในยามแรกที่ลืมตาราวฟ้ากับเหว

             ดรุณมองหาต้นเฟื่องฟ้าตรงหัวมุมถนน เห็นเพียงพืชแปลกประหลาด สีเขียวทั้งต้นแถมไร้ดอก เขาสงสัยจึงชี้ถามแม่ครั้งหนึ่ง มารดาให้คำตอบแค่ว่าเฟื่องฟ้าติดโรคร้าย ไม่ทราบว่าเพราะอะไร กลีบดอกที่ควรจะเป็นสีสันก็บิดเฉดกลายเป็นเขียว เป็นเช่นนี้มาหลายปีดีดัก

             เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนนอนแหงนหน้ามองเพดาน เขาคงไม่ต่างจากต้นไม้ติดโรคต้นนั้น เฟื่องฟ้าเป็นพืชที่มีดอกเล็ก สีต่าง ๆ ทั้งชมพู แสด แดง คือสีของใบที่รองรอบดอก ต่างจากไม้ดอกอื่น ๆ เฟื่องฟ้าอาศัยใบประดับสำแดงความงาม ดรุณอุปมาตัวเองเป็นเพียงดอกขาวดอกกระจ้อยของเฟื่องฟ้า ไม่โดดเด่น ไม่มีใครเห็นหากไร้ใบประดับ

             “ถ้าเพียงเขาจะติดใบสีสันพวกนั้นให้กับตัวเองได้”

             ดรุณรำพึง ก่อนจะนึกอะไรออก ดรุณรู้ว่าคนประเภทเขาเรียกว่าอะไร ครั้งหนึ่งเคยถูกเพื่อนร่วมห้องเขียนแปะไว้กลางหลัง เขาลองสะกดตัวอักษรพวกนั้นในช่องค้นหา เห็นบรรดาหญิงสาวมากหน้าหลายตาพูดถึงเส้นทางชีวิตและจุดเปลี่ยน ที่ทำให้พวกเธอได้กลายมาเป็นตัวเองสมดั่งประสงค์

             ดรุณเห็นแสงสว่างอยู่ลิบ ๆ ความหวังอยู่ตรงหน้า เขาใช้ชีวิตดั่งในฝันของตนได้

             ดรุณเติมสระอีลงไปในชื่อ เปลี่ยนคำให้กลายเป็นหญิง ดรุณีคือหญิงสาว เธอยิ้มรับชื่อใหม่ด้วยหัวใจที่พองโต

                  กว่าหลายโมงยามที่ดรุณีเที่ยวค้นหา ศึกษา และเรียนรู้ตัวเองจากคนเช่นเธอ นั่งหลังขดหลังแข็งคุดคู้อยู่ที่หน้าจอ จดจ้องด้วยความหวัง

                  ท้ายสุดเธอถึงรู้ว่าการรับฮอร์โมนคือทางออก ดรุณีสามารถใช้ชีวิตได้ดั่งใจต้องการ ส่วนพ่อและแม่ก็ไม่คิดห้ามเมื่อดรุณีขอไปพบจิตแพทย์ คู่สามีภรรยาเห็นสมควรว่า ผู้เชี่ยวชาญจะให้คำปรึกษาที่ดีที่สุดแก่ลูก ทั้งคู่จึงพาลูกน้อยมาที่คลินิกพิเศษของโรงพยาบาลใกล้บ้าน

             คุณหมอยิ้มใจดีต้อนรับครอบครัวของดรุณี ถามไถ่เพียงเล็กน้อย ก่อนจะขอคุยกับเธอเพียงสองคน

             เธอให้ดรุณีเล่าเรื่องราวตั้งแต่ในวัยเด็ก ดรุณีจรดทุกคำออกจากปากอย่างตั้งใจ เธอรู้สึกอย่างไรกับตัวเอง รู้ตัวเมื่อไหร่ว่าตนไม่ใช่ชาย ดรุณีตอบคำถามด้วยความสัตย์ รวมทั้งความลับบางข้อที่แม้แต่คุณพ่อและคุณแม่ก็ไม่รู้

             จิตแพทย์หญิงวัยกลางคนเน้นย้ำไม่ให้ดรุณีฝืนร่างกายตัวเองเหมือนครั้งในอดีต เธอพยักหน้าเข้าใจ สบายใจกว่าบทสนทนาในครั้งไหน ๆ ดรุณีได้ปลดปล่อยหัวใจที่ถูกกักขังมานาน เธอได้พูดความจริง ปลดเปลือยความรู้สึกต่อหน้ามนุษย์อีกคนหนึ่ง พร้อมทั้งรับฟังคำแนะนำที่เป็นดั่งแสงจากตะเกียงชี้ทาง

             หลังจบช่วงวินิจฉัย เธอรับกล่องยากล่องเล็กสองกล่องที่ช่องรับยา แล้วเดินไปขึ้นรถพร้อมพ่อและแม่ด้วยใจเบิกบาน

             ดรุณีกำลังจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ซึ่งเป็นชีวิตในฝันที่รอคอย เม็ดยาในแผงแต่ละเม็ดบรรจุความหวังของเธอไว้ ทุกคืนดรุณีจึงบรรจงป้อนมันเข้าปากตัวเองก่อนนอน อธิษฐานขอจันทร์ให้ยาออกผลในเร็ววัน

             ปีสุดท้ายของมัธยมสดใสกว่าที่ผ่านมา เธอยอมรับตัวตนของตัวเองอย่างใจกล้า วันหนึ่งดรุณีสวมเสื้อกันหนาวสีชมพู โดดเด่นยิ่งกว่าเพื่อนคนไหนในชั้นเรียน เธอจะไม่ปิดบังชื่อใหม่ของตัวเองอีกต่อไป

             เด็กสาวรู้แล้วว่า กายและใจของเธอไม่ได้บกพร่อง ผิดปรกติ หรือไม่สมประดีอย่างปุถุชนทั่วไป แต่เธอทุกข์จากกายที่ไม่สามารถแสดงออกถึงตัวตนข้างในได้เต็มที่ต่างหาก และนั่นไม่ใช่ความผิดของเธอ เธอเพียงต้องพึ่งความช่วยเหลือจากแพทย์ เพื่อให้ตนหลุดพ้นจากโซ่ตรวนนี้เท่านั้น

             ดรุณีใช้เวลาช่วงบ่ายสุดสัปดาห์ไปกับโปรเจกต์เล็ก ๆ ที่หัวมุมถนน เธอจับพู่กันแต่งแต้มป้ายสีลงบนใบรอบดอกเฟื่องฟ้า สีพื้นลงเป็นฐาน ตามด้วยสีขาวยาวเป็นริ้ว ๆ ใช้หัวใจศิลป์วาดเขียนแต่ละใบอย่างทะนุถนอม ผ่านไปหลายสัปดาห์ เฟื่องฟ้าปรากฏหลากสีสัน หนึ่งต้นประกอบด้วยนานาเฉดสี เรียกสายตาจากผู้ผ่านไปมา

             คุณป้าร้านของชำถาม “ทำไมดรุณลงหลายสี ตามปรกติแล้วหนึ่งต้นควรมีดอกแค่สีเดียว”

             ดรุณีตอบในใจ เฟื่องฟ้าเช่นเธอเกิดจากพู่กันและสีน้ำมัน งามด้วยการแต่งเติมและใจสร้างสรรค์ จึงไม่มีเส้นกั้นใดที่เธอจะข้ามไปไม่ได้อีก “หลากสีก็สวยได้เหมือนกัน แม้จะไม่เหมือนต้นอื่น ๆ”

             หลายเดือนต่อมา เฟื่องฟ้าเติบโต ผลิดอกออกผลทีไร ดรุณีก็จะคอยเติมสีให้ 

                 เวลาที่ผ่านไปทำให้ความเปลี่ยนแปลงบนร่างกายของเธอเด่นชัด ดรุณีไม่ต้องใช้มีดโกนหนวดมาสองสามสัปดาห์แล้ว ผิวพรรณก็ดูนวลเนียนเปล่งปลั่ง ทั้งครูทั้งเพื่อนในห้องต่างก็ทัก

                 ทุกครั้งที่ถึงเวลานัดของแต่ละเดือน ดรุณีก็จะไปหาคุณหมอแต่เช้าตรู่ด้วยความตื่นเต้น บอกเล่าเรื่องราวในชีวิตที่เปลี่ยนไป

             ดรุณีกลายเป็นดาวเด่นของห้อง เพื่อน ๆ ต่างชื่นชมที่เธอกล้าหาญ สนุกสนาน และร่าเริงกว่าในอดีต ทั้งคนในละแวกบ้านหรือคนในครอบครัวก็ยิ้มด้วยความภูมิใจ แม้จะไม่เข้าใจหรือยอมรับทั้งหมด แต่พวกเขาก็ไม่กีดกัน

                 คุณหมอยิ้มให้ รับฟังเรื่องราวด้วยความอิ่มใจ ก่อนจะยื่นใบสั่งยาชุดใหม่ ดรุณีรับมา ก้มหัวบอกลาด้วยความขอบคุณ

             เมื่อเธอมองไปที่กระจกอีกครั้ง คราวนี้เห็นเพียงชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ตัวตนที่ถูกเติมเต็มและแสดงออกได้อย่างเต็มที่ ดรุณียิ้มให้ตัวเองแล้วพูดว่า “เธอเก่ง” เน้นย้ำในใจ

             แสงแดดแก่ ๆ ยามโพล้เพล้กระทบต้องตัวตึกสูงสีขาว ดรุณีนั่งอยู่กลางสนามหญ้า มองดูโรงเรียนที่เงียบสงัด เด็กนักเรียนแต่ละชั้นล้วนทยอยกันกลับบ้านไปหมดแล้ว เหลือเพียงเธอ

             ดรุณีเห็นลูกบอลก็นึกย้อนไปถึงคราวอายุยังน้อย เธอชิงชังกีฬา เธอเกลียดคนเหล่านั้นที่เคยเยาะเย้ยยามเธอล้ม สนุกสนานไปกับการเห็นเธอดิ้นรน ดรุณีไม่รู้ว่าคนพวกนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว เธอคิดว่าในเวลานี้พวกเขาคงจะมีความสุขดี ใช้ชีวิตไม่ทุกข์ร้อนอะไร ดรุณีคิดว่าคนเหล่านั้นคงกลับใจ กาลเวลาที่เดินไปข้างหน้าคงพอขัดเกลาบ่มนิสัยคนได้บ้าง แต่บาดแผลในใจของเธอนี่สิ ที่ยังคงรูปรอยแผลเป็น กรีดลึกในดวงใจ

             การข้ามเพศไม่ใช่แค่เรื่องของความงาม มันคือการปลดโซ่ตรวน มันคือเรื่องของตัวตนที่ลอกคราบออกจากร่างที่บอบช้ำ มันคือพรจากสวรรค์ที่ลบคำสาปตั้งแต่แรกเกิด มันคือความรักและการเลือกเส้นทางเพื่อนำไปสู่ความรักอันสูงสุด ดรุณีช่างโชคดีที่มีโอกาสเช่นนี้ เธอคิด

             พลบค่ำดรุณีจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากโรงเรียน เธออยากทิ้งอดีตไว้เสียเต็มประดา แต่ลึก ๆ เธอรู้อยู่เต็มอก วันคืนเหล่านั้นจะติดอยู่ในใจไปตลอดกาล

             ชีวิตกำลังไปได้สวย ดรุณีสอบติดมหาลัยในฝัน เธอใช้เวลาช่วงปิดเทอมไปกับการเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งอ่านหนังสือในรายวิชาต่าง ๆ ล่วงหน้า และยังไม่ลืมที่จะดูแลตัวเอง

             ดรุณีออมเงินไว้ได้ก้อนหนึ่ง เธอจึงนำมาใช้กับการต่อเส้นผม ตอนนี้เธอมีผมสีดำขลับยาวสลวย ดรุณีรักเส้นผมของตัวเอง เธอเฝ้าหวีสางมันทุกคืนก่อนนอน หาแชมพูและยาบำรุงอย่างดีมารักษาความงามของมัน

                เธอสมัครคลาสเรียนแต่งหน้า ซื้อแปรงและเครื่องสำอางชุดใหม่ หิ้วกระปิ๋วใบน้อยด้วยใจอิ่มเอม

                 ทุกสุดสัปดาห์ที่ชั้นเรียน ดรุณีพัฒนาฝีมือ ปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับการแต่งแต้ม ระบายสีคัดเบ้า กรีดเส้นดำขลับที่ขอบตา ปัดมาสคาร่าให้ขนตางอนงาม เหมือนที่เธอเคยทำกับเฟื่องฟ้าหลายต้นใกล้เรือน

                 แต่ก่อนนั้น อะไร ๆ ที่เธออยากทำ ล้วนเป็นเพียงความปรารถนาซ่อนลึกในใจ ราวกับมีเส้นกั้นบาง ๆ คอยฉุดรั้งอยู่ ดรุณีไม่เคยกล้าพอจะทำมัน

                 ดรุณีเวอร์ชั่นใหม่ไม่เพียงแต่ทำให้เธอมีความสุข เธอค้นพบสิ่งที่รัก และได้ทำในสิ่งที่รัก

                 มื้อเย็นทุก ๆ วันดรุณีจะเล่าโพนทะนา ร่ายยาวเรื่องราวประจำวัน ถึงความสำเร็จ และความสุขที่เปี่ยมล้นอยู่ในใจ พ่อและแม่ต่างก็เห็นว่าลูกของทั้งสองเปลี่ยนไปแค่ไหน พวกเขายิ้มรับ พยักหน้า บุ้ยใบ้ให้เล่าต่อ

                 วันนี้ก็เช่นกัน ดรุณีกำลังพูดถึงคุณครูที่สอนคลาสแต่งหน้า เขาชมว่าเธอมีพัฒนาการมากขึ้นเพียงใด พร้อมทั้งลงความเห็นว่า “ฝึกฝนอีกนิดหน่อย คงได้เป็นช่างมืออาชีพ” ดรุณีเลียนเสียง ยืดอกรอรับคำชม

             เบ่งค้างอยู่ไม่กี่อึดใจ ดรุณีก็รู้สึกผิดสังเกต

                 เมื่อหันไปหาทั้งสอง ดรุณีเห็นคุณพ่อคุณแม่ทำสีหน้าเคร่งเครียด ไม่แตะจานอาหาร เหลือบมองไปก็เห็นชามพะโล้กลางโต๊ะเย็นชืด 

                  คุณพ่อก็ดูแปลกไปไม่เหมือนเคย ราวกับชราลงกว่าเก่าเป็นสิบปีด้วยความเครียด ดรุณีเริ่มรู้สึกใจไม่ดี ก่อนที่คุณแม่จะพูดบางอย่างออกมา

             “ดรุณีลูก คุณพ่อกำลังมีปัญหา ที่ทำงานให้ออกจากงานภายในเดือนนี้ เราคงต้องรัดเข็มขัดกันหน่อยนะ”

               วูบไหวในแววตา เงียบสงัดทำลายโสตประสาท 

                   เด็กสาวพยักหน้ารับทั้งที่ในใจกำลังสั่นคลอน เธอไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบได้ เธอได้แต่ฟุ้งซ่านคาดเดา

                  ค่าเรียนพิเศษ ค่าปรึกษาจิตแพทย์ ค่ายาฮอร์โมน ค่าเทอมปีหน้า สารพัด “ค่า” ถูกไล่เรียงลำดับอยู่ในหัว

                  สิ่งที่รับรองและหล่อเลี้ยงชีวิตของเด็กคือเงินของพ่อแม่ ปราศจากมัน ดรุณีก็อับจนหนทางจะคิดสู้

                  “จะหาจากไหน จะทำอย่างไร จะต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิมจริงหรือ”

                  สารพัด “จะ” เข้ามาแทนที่ 

                  เธอกำลังรู้สึกท่วมท้น เสียจนหัวใจเต้นกระหน่ำ กระนั้นก็บีบกลั้นน้ำตา เกร็งมือจับช้อน ตักข้าวงับเข้าปาก

                  ทว่าส่วนฐานรากเริ่มอ่อนแอ ผุดหลุมบ่อทีละน้อย

             ดรุณีเหมือนปราสาททรายที่เริ่มผุกร่อน รอเวลาถล่มลงมา

             เธอทำใจดีสู้เสือ ยิ้มให้แม่ บีบมือให้กำลังใจพ่อทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน ดรุณีสมัครงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟ เธออยากหาเงินมาช่วยจุนเจือครอบครัว ในเวลานี้ ถ้าช่วยได้ก็ต้องช่วยกัน เธอตั้งเป็นปณิธาน

             ดรุณีทำงานบ่ายโมงถึงสองทุ่มของทุกวัน เมื่อกะของเธอจบ เธอจะบอกลาเจ้าของร้านแล้วหิ้วถุงขยะออกมาทิ้งในถังหน้าร้าน ถัดออกไปสองช่วงตึกคือร้านสะดวกซื้อ ดรุณีชอบแวะไปดื่มน้ำหวานสักขวดให้รางวัลตัวเอง

             เงินที่ได้จากการทำงานดรุณีให้แม่ทั้งหมด คุณแม่นำเงินไปผ่อนรถ จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ตลอดจนค่ากินค่าอยู่ และเก็บไว้สำหรับเป็นค่าเทอม แต่เงินที่หามาได้มีเพียงน้อยนิด ไม่รู้จะเลี้ยงทั้งครอบครัวได้อีกนานเท่าไหร่ คุณพ่อเองก็ทราบข้อนี้ ท่านเร่งหางานใหม่ ใส่สูทสวมรองเท้าหนังออกไปสัมภาษณ์งานทุกวัน

             ดรุณียังคงตั้งมั่นเข้มแข็ง เธอจำเป็นต้องเป็นที่พึ่งให้กับครอบครัว

             วันหนึ่งกลางมื้อเย็นบนโต๊ะอาหาร เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น คุณแม่เดินไปรับสาย ถึงรู้ว่าโทรมาจากโรงพยาบาลที่ดรุณีไปบ่อย ๆ

             “คุณหมอแจ้งมาว่านัดวันเสาร์นี้ให้เข้าไปได้ตั้งแต่เช้าน่ะลูก”

             “ค่ะคุณแม่ แต่ว่า..”

             ดรุณีกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ในมือถือกระดาษรายการสำหรับตรวจเลือด ที่คลินิกพิเศษของโรงพยาบาล นอกจากจะใช้ฮอร์โมนในการบำบัดแล้ว ยังมีการติดตามผลด้วยการตรวจค่าของสารต่าง ๆ ในเลือดด้วย ทว่าสำหรับเดือนนี้ ค่าใช้จ่ายกลับสูงลิ่ว ด้วยต้องตรวจมากเป็นพิเศษ 

             ดรุณียิ้มไม่ออก เธอรู้ดีว่าถ้าขอคุณแม่ไป อย่างไรท่านก็ไม่ปฏิเสธ แต่เธอจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เงินเก็บของพวกเราก็มีอยู่น้อยนิด คุณพ่อก็ยังไม่ได้งานใหม่

             เธอพยายามฝืนใจ

                 ครั้งแรกเธอพยายามเปล่งเสียง ก้อนสะอื้นสะอึกติดอยู่ในลำคอ

                 เธอก้มหน้ากลืนลง

                 ครั้งที่สองเค้นเสียงให้เล็ดลอดออกจากปาก

                 ดรุณีกำสองมือเข้าหากันแน่น

              “หนูว่าเดือนนี้เราไม่ไปดีกว่าค่ะ ยาของเดือนก่อนยังมีอยู่ จะได้ประหยัดด้วย”

             ยิ้มประกอบคำพูดไม่ได้ช่วยปกปิดความขมขื่นในใจ คุณแม่เบือนหน้าซ่อนน้ำตาพลางวางช้อนลงในจาน คุณพ่อกำหมัดแน่นโทษตัวเอง ทั้งคู่รู้ว่าลูกรักของตนกำลังเสียสละ ทั้งสองกำลังทุกข์ระทมเจ็บปวดด้วยความรู้สึกผิด

             เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วที่ดรุณีไม่ได้รับฮอร์โมน เธอโกหกพ่อกับแม่ว่ายาในกล่องยังมีเหลืออยู่ ทั้งสองท่านไม่ได้เอะใจ

             บนหน้าของเธอเริ่มมีสิวเม็ดน้อยใหญ่ผุดขึ้นเกลื่อนกลาด เส้นขนก็เริ่มกลับมาหนาแข็ง ส่วนผิวพรรณเริ่มแห้งกร้าน ดรุณีทำใจรับไม่ได้ เธอไม่ขอมองกระจกอีกแล้ว ภาพวันเก่า ๆ ย้อนกลับมา เธอเคยชิงชังร่างกายตัวเอง จนกระทั่งใช้วิธีนานาสารพัดเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน แต่ในวันนี้เธอกำลังกลับไปที่เก่า

             “มีอย่างที่ไหน ผีเสื้อหดตัวกลับเข้าดักแด้” ดรุณีเย้ยหยันตัวเองอยู่ในใจ อย่างไรเสียเธอก็จะไม่ยอมกลับไปเป็นคนเดิม

             เธอจึงเริ่มหาทางออก ดรุณีคิดว่า ถ้ารับฮอร์โมนจากร้านขายยาได้ คงจะไม่ต้องไปที่โรงพยาบาลอีก จะไม่ต้องเสียค่าตรวจเลือดและค่าปรึกษาจิตแพทย์ เธอจึงเที่ยวหาร้านที่จะขายให้

           วันหนึ่งเธอพบ มีร้านขายยาร้านใหญ่ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้าน เธอดีใจแทบตัวโยน เมื่อรู้ว่าเขามีตัวยาชนิดเดียวกับที่โรงพยาบาลจ่าย ดรุณีซื้อมาในราคาที่ถูกกว่า เธอไม่จำเป็นต้องไปคลินิกพิเศษอีกต่อไป

             ทว่า สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงกว่าเก่า

             ดรุณีไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เม็ดยาที่กลืนเข้าไปหลายคืนไม่ออกผล ซ้ำร้ายยังยิ่งทวีผลเสีย ตอนนี้ใบหน้าของหญิงสาวเกรอะกรังไปด้วยเม็ดสิว ทั้งสิวอักเสบเม็ดแดงใหญ่ สิวหัวหนองน่ารังเกียจ สิวหัวช้างเม็ดเบ้อเร่อไร้ทางปกปิด อีกทั้งรอยดำรอยแดงรอยแผลเป็น ผิวก็หมองคล้ำลงจนเห็นได้ชัด

             เธอยืนมองตัวเองหน้ากระจก เส้นผมยาวกระเซอะกระเซิงชี้ฟูเพราะไม่ได้บำรุง ส่วนหน้ากร้านน่าเกลียดกว่าแต่เก่าก่อน ร่างกายก็ซูบผอม แต่มีไขมันตรงท้องน้อยไม่สมส่วน ดรุณีกำลังแตกสลาย มองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ

             น้ำตาเอ่อนองล้นในดวงเนตร ไม่สามารถชะล้างภาพตรงหน้าออกไปได้ ดรุณีไม่เพียงเห็นมนุษย์ที่น่าเกลียด 

    เธอเห็นปีศาจ

             สองเข่าทรุดลง ความโศกเศร้าทุบทำลายตัวเธอไม่มีชิ้นดี และดรุณีไม่แม้แต่จะโอบกอดตัวเอง

             หญิงสาวสวมหน้ากากปกปิดใบหน้า ผมม้วนเกล้าขึ้นลวก ๆ ขณะเดินออกไปทำงาน ถึงจะเริ่มเรียนชั้นปีที่หนึ่งแล้ว แต่เธอก็ยังต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัว

             หลังหมดกะดรุณีเดินกลับมาที่บ้าน ผ่านถนนเส้นเดิมที่คุ้นเคย เธอเหลือบเห็นตรงหางตาอยู่ไม่ไกล ต้นเฟื่องฟ้าแสนรักกำลังยืนต้นตาย ดอกและใบร่วงโรย ทิ้งเศษซากเกลื่อนกลาดเต็มถนน ดรุณีไม่แม้แต่จะหันไปมองตรง ๆ เธอกลั้นใจงับก้อนสะอื้นเดินสับขาเข้าไปในซอย แม้น้ำตาไหลพรากก็ไม่หยุดเดิน

             ความคับข้องสุมอกดั่งไฟอยู่ในทรวง

             ดรุณีกำลังโกรธ โทสะพลุ่งพล่านด้วยความไม่เข้าใจ เพราะอะไรชีวิตของเธอจึงกลับตาลปัตรได้เช่นนี้

             เมื่อเข้าไปในบ้าน เธอเลือกที่จะหันหลังให้กับคุณพ่อและคุณแม่ เดินเข้าห้องฟาดประตูลงกลอน เธอทุ่มอารมณ์โมโหใส่บุพการีทั้งสอง 

                 กระเป๋าใบเล็กบรรจุเครื่องสำอางค์และแปรงแต่งหน้าตั้งอยู่มุมห้อง ดรุณีคว้าเอาด้วยจะทุบมันทิ้ง

                กระชากขึ้นจากพื้น ฟาดลงบนโต๊ะ

                เงื้อมือยกกำปั้น ดรุณีจะทุบทำลายให้หมดสิ้น

                ไม่สำคัญอีกแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมาย เธอกำลังกลับไปที่เก่า ใต้เงามืดของความชิงชังในตัวเอง

                แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักลง เมื่อความทรงจำที่ฉายเป็นภาพแทรกขึ้นมาในหัวดึงสติของเธอกลับมา 

                ดรุณีตัวอ่อนแรง ทรุดลงกับพื้น

                ทุกข์โทมนัสท่วมท้นถาโถม ดรุณีตัวสั่นเทิ้ม ร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสาย      

             เหตุใดชีวิตเธอจึงเหมือนเส้นถนนคดเคี้ยวในป่ารกชัฏ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตัดออกเข้ากลางเมือง หรือเมื่อไหร่จะจมลงใต้ลำธารที่อุดมด้วยโคลนตม ก่อนหน้าเธอเหมือนได้หลุดพ้นจากบ่วง กำลังมุ่งหน้าเข้าหาแสงไฟลิบ ๆ ที่ปลายอุโมงค์ ทำไมในเวลานี้กลับต้องมานั่งกลัดกลุ้ม ทุกข์ตรมกับอาการผิดหวัง

             การข้ามเพศเป็นกระบวนการที่เจ็บปวด อาศัยทั้งเวลา แรงกายแรงใจ และทุนมหาศาล ดรุณีทราบข้อนี้อย่างรู้ซึ้ง ในเวลานี้ที่เธอต้องดิ้นรนเพื่อจะหามาซึ่งสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตของเธอ

             ดรุณีซึ่งเป็นชื่อที่เธอภูมิใจ ในตอนนี้มันกลับกลายเป็นดาบทิ่มแทงกลางอก เธอไม่กล้าเรียกตัวเองว่าหญิงสาวอีกแล้ว กระดากอายแทบอยากแทรกแผ่นดิน จริงอยู่ที่ภายในใจของเธอยังคงเดิม หญิงสาวคนนั้นยังคงอยู่ เธอคนนั้นเติบโตมาพร้อมกับเธอ แต่จะสำคัญอย่างไรเล่า บนโลกที่กว้างใหญ่ มนุษย์ล้วนเห็นและเสพสมแต่เพียงสิ่งภายนอก

             แต่เล็กสายตาที่มองมาเป็นเหมือนกระจกสะท้อนเงา เธอเห็นเงาของตัวเองในดวงตาของคนอื่นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรูปกาย ดวงหน้า บุคลิกวาจา ตลอดจนการกระทำ ดรุณีพยายามเสมอที่จะแสดงออกถึงตัวตนที่จริงแท้ข้างใน ก่อนหน้านี้ร่างกายเคยเป็นอุปสรรค แต่ในตอนนี้ สำหรับเธอมันคือจุดบกพร่อง ข้อผิดพลาดที่สมควรถูกกำจัด

             สำหรับคนเช่นเธอ อัตลักษณ์ไม่ใช่สารัตถะเพียงหนึ่งเดียว การแสดงออกเป็นอีกข้อที่สำคัญไม่ต่างกัน

             ดรุณียอมรับอยู่ในอก การเปลี่ยนแปลงที่ล้มเหลวคือความผิดพลาด เธอจึงกำลังทนทุกข์อยู่ในร่างของปีศาจกลายพันธุ์ รอคอยคำเย้ยหยันอีกครั้งหนึ่ง

             ทารกเยาว์วัยนอนอยู่กลางเปลสีขาว ดรุณีไกวแกว่งไปมาช้า ๆ เด็กหญิงคนนั้นเธอเฝ้าทะนุถนอมไว้ในอก แม้ในยามที่แตกสลายที่สุด เธอยังคงโอบอุ้มความทรงจำ เมื่อมองไปที่ตัวเองในวัยแรกเกิด เธอเห็นแต่เพียงความสมบูรณ์แบบ

             ดรุณีไม่ได้เกลียดตัวเอง เธอเพียงชิงชังร่างกายที่เป็นภาชนะของวิญญาณก็เท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ก็เจ็บปวดมากเสียเกินพอ

             เธอก้มรับโชคชะตา จริงอยู่ที่ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอนแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่เธอตั้งคำถาม คนที่ไม่ได้เป็นเหมือนเธอ จำเป็นจะต้องทนทุกข์กับสิ่งเหล่านี้เหมือนเธอหรือไม่ จะต้องหวาดกลัวกระจกที่ฉายภาพกายของตัวเองเช่นเธอหรือไม่

             พร้อมอีกคำถามหนึ่งที่ดังก้องอยู่ในใจ อยากจะแหวกอกออกมากู่เสียงร้องให้รู้แล้วรู้รอด

             “ทำไมคนเหล่านั้นต้องพรากชีวิตของเธอไป เพียงเพราะขาดทุนทรัพย์ เธอสมควรที่จะถูกฉีกทึ้งดวงใจออกจากกาย บดขยี้บาดแผลภายในให้ช้ำเลือดเลยหรือ”

             เม็ดยาในแผงบรรจุความหวังและความฝัน โรงพยาบาลคือที่พักใจ และจิตแพทย์คือเพื่อนร่วมทางเดินของบรรดาคนข้ามเพศ บนเส้นทางที่เจ็บปวดนี้ ดรุณีกลับถูกทิ้งให้ลำพัง แตกสลายอย่างโดดเดี่ยว

             “เป็นเช่นนี้สมควรแล้วหรือ”

             อย่างไรเสีย เช้าวันใหม่ก็รอต้อนรับดรุณีอยู่เสมอ อรุณรุ่งย่อมเปิดบานประตูต้อนรับโอกาสใหม่ ๆ และวันถัดไปมีไว้เพื่อความหวัง ดรุณีล้มในวันนี้ วันหน้าก็จะลุกขึ้นมาใหม่ เช่นเดียวกันกับเพื่อน พี่สาว และน้องสาวผู้ร่วมชะตากรรม

             วันข้างหน้าจะเป็นของเธอ ในวัยสิบเก้าปีดรุณีมั่นใจ



    เรื่องสั้น
    โดย พัทธ์นันท์ ยุกตานนท์

    สร้างสรรค์ศิลป์ โดย ปิตินันท์

    บรรณาธิกร โดย ฟิซซา อวัน

    พิสูจน์อักษร โดย คาฟก้า


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in