เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
TimeEl Thanaphat
ฉันวันนั้น...(ระบาย)
  • เรื่องเก่าเรื่องเดิม ฉันคงจะพูดอะไรทำนองนี้อีกเป็นครั้งสุดท้าย แล้วฉันจะฝังมันไว้ที่นี่ ตอนนี้ไม่พูดถึงมันอีก
    .
    --- ฉันเคยเป็นคนทะเยอทะยาน เป็นคนมีฝันมาก่อน ฉันเคย ใฝ่หาความก้าวหน้า ความสำเร็จ เคยมั่นใจตัวเองแบบสุดโต่ง จนมีคนอิจฉาในความกล้าบ้าบิ่นของเรา วันหนึ่งนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ร้าน เหลือบเห็นหนังสือสือพิมพ์ เกี่ยวกับเชียงใหม่ วันนั้นตอนนั้น เวลานั้นตังค์ติดตัวไม่กี่ร้อยบาท ตัดสินใจลากเพื่อนซี้ที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงดิ่งไปซื้อตั๋วรถทัวร์ทันใด ไม่กี่นาทีต่อมาเราอยู่บนรถ รถไปถึงด่านแม่สรวย ตำรวจตรวจค้นรถ ปรากฏว่าเพื่อนลืมหยิบกระเป๋าตังค์มาด้วย บัตรประชาชนเลยไม่มีอีก ขณะคุยกับตำรวจเราบอกว่าเพื่อนมากับเรา สอบกันอยู่พักหนึ่งถึงผ่านด่านไปได้ (แมร่ง โคตรบ้าเลยตอนนั้น...)
    .
    ความไฟแรงของเด็กรุ่น 19 ปี มันพุ่งชนได้ทุกอย่าง ไม่กลัวเลยจริงๆ ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตรงนั้น เชียงราย สู่เชียงใหม่สองคน ไปได้มิตรสหายแปลกหน้า แต่อุดมการณ์ตรงกัน เริ่มคุยกัน วางแผนการเวอร์วัง ตั้งทีมออกกฏว่า "...จะไม่กลับหลังถ้ายังไม่ได้ดี...." มาอย่างเพลงพุ่มพวงเลย มิตรสหายแปลกหน้าที่นั่นยินดีจะร่วมอุดมการณ์นี้ แต่เพื่อนซี้เริ่มไม่เห็นด้วย เราเองที่โคตร ยโสโอหัง บอกไม่เป็นไรฉันไม่แคร์ กลับมาเชียงรายอีกครั้งเราเตรียมตัวเตรียมพร้อม คราวนี้สามารถค้นหาคนอุดมการณ์เดียวกันในเชียงรายได้คนหนึ่ง นัดเจอ และตัดสินใจตั้งทีมรวมกับสหายเชียงใหม่ ออกรถส่วนตัวขับจากเชียงรายลงขอนแก่น เปลี่ยนกันขับ ตอนนั้นพ่อแม่พี่น้องไม่มีใครเห็นด้วยกับอุดมการณ์ของเราสักเท่าไหร่ แต่ก็ชักแม่น้ำทั้งห้าขอทุนทรัพย์ทางบ้าน พูดอย่างโอหังว่ากลับมาคราวหน้าไม่ใช่เงินหลักแสนที่เอาไปด้วยเท่านั้นที่จะกลับมาคืน แต่จะคืนให้ในหลักล้านให้ดู ... เลยได้เดินทาง แม้ญาติมิตรอีกหลายคนจะหัวเราะเยาะรอแล้วก็ตาม
    .
    ทีมงานเรา 4 คนพร้อมด้วยกฏเหล็ก 1 ข้อที่ยังยืนยัน คือ "ทางนี้ทุกคนที่ข้ามสะพานมาแล้ว ให้ทำลายสะพานของตัวเอง ปิดทางถอย ห้ามถอยกลับไปที่เดิม.... ที่ๆเราเริ่มจาก 0 ห้ามกลับไปอยู่ในที่ๆ ศูนย์" 
    (นึกแล้วอยากถามตัวเองตอนนั้นว่าเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน) 

    เมื่อรวมทีมที่นี่ได้ เส้นทางที่เราจะมุ่งหน้าปักหลักสร้างถิ่นฐานคือ... " ข อ น แ ก่ น "
    อุดมการณ์แน่วแน่ ทีมงานนี้ สร้างสรรค์งาน ออกแบบทุกอย่าง เชื่อกระทั่งว่าตัวเองออกแบบชีวิตได้
    และมุ่งเน้นไปที่การออกแบบชีวิตให้ดีขึ้นเป็นเป้าหมายสูงสุด ลองลงมาก็งานออกแบบ งานพัฒนา ผู้ร่วมอุดมการณ์ทุกคนค่ำที่ไหนหาโรงแรมพักที่นั่น จนกว่าจะถึงที่หมาย หาที่ตึกเช่าได้ และก็ได้ จึงร่วมหารค่าเช่าตึก ตึกสามชั้น มีห้อง 5 ห้อง สองชั้นบน ชั้นล่างโล่งๆ ทำสำนักงาน ทีม 4 คน 






    ความไฟแรงของเราตอนนั้น ทำให้รู้สึกหลงระเริงและโคตรบ้าอำนาจ หยิ่งผยองว่าเราอายุ 19 สามารถนำทีม พูดโน้มน้าวให้คนอายุมากกว่าเชื่อถือเราได้ พาทุกคนมาที่ขอนแก่นได้ แถม ได้ทีมงานที่มาสมัครงานเพิ่มกับเราอีก 2 เป็น 6 คน ทั้งที่บอกว่าที่นี่ช่วงแรกๆเราจะไม่มีเงินเดือนให้ แต่ทุกบาททุกสตางค์ที่ได้คือเราหารกัน อดก็อดด้วยกัน อิ่มก็อิ่มด้วยกัน ห้ามหนีกลับบ้าน เพราะที่นั่นเราลงเรือลำเดียวกันแล้วเราไม่ใช่แค่ทีมหรือเพื่อน แต่ "เราคือครอบครัว..." และนอกจากนั้น ที่สำคัญทุกคนเชื่อว่า ชีวิตข้างหน้าจะดีกว่า และต่างพากันปิดทางถอยตัวเองทั้งนั้น
    .
    แล้วทุกอย่างก็เริ่มต้นที่ตรงนั้น จุดเริ่มต้นของเราคือการเจียดเงินทุนส่วนแรก เพื่อหารค่ามัดจำตึก ต่อมาหารค่าเช่าเดือนแรก ค่าน้ำค่าไฟ และ ลงทุนตกแต่งต่างๆ ต่อมาเริ่มเครื่องมือเครื่องใช้ ต่อเติมหน้าร้าน ทำพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นร้านกาแฟ แหล่งค้นหาคนไฟแรง ไอเดียร์ นายทุน หุ้นส่วน และ ลูกค้า...
    กราฟเริ่มต้นจากศูนย์ ค่อยๆโค้งขึ้นอย่างช้าๆ สูงขึ้นเป็นเขา เป็นดอย สูงขึ้น สูงขึ้น ฉันถึงจุดที่ คุมคนได้ พูดออกคำสั่งได้ ไม่สนอายุอานาม เพราะที่นี่ พวกเราไม่ถือเรื่องอาวุโส นับถือกันที่ความคิด ไอเดีย สภาวะ อะไรพวกนั้น 
    .
    ทีนี้...!
    ปัญหาคืออะไร?
    เริ่มต้นมันดีทุกอย่าง เงินมีมามีไป เราทุกคนแฮปปี้ ออกทริปกันทุกอาทิตย์ ทีมงานเสมือนครอบครัว มีความสุข จัดสังสรรค์ใหญ่เดือนละครั้ง ก่อนต้นเดือนกินมาม่า และเงินกลับมาช่วงกลางถึงปลายเดือน 
    เรามาถึงจุดที่สามารถสร้างรายได้เฉลี่ยหกคนตกคนละ เกือบสองหมื่นบาทได้ (งานอะไรจะแม่งโคตรดีขนาดนี้เลย ไม่ใช่ขายตรงแน่นอน) งานออกแบบโคตรรายได้ดีเลย หรือไม่ก็ ร้านกาแฟเรานี่แหละขายได้โคตรดีเลย หรือไม่ งาน DIY งาน คราฟ ที่พวกเราทำขายกันทั้งกับที่และตามตลาดนัดนี่แหล่ะ 

    ทุกอย่างโคตรจะดีเลย ใช้ชีวิตอู้ฟู่มาก หารู้ไม่ว่า มันมีจุดขึ้นลงของมันอยู่ กราฟนี้ค่อยๆทะยานขึ้นฟ้า แต่ขาลงมันไม่ค่อย มันดิ่ง ดิ่งลงมาต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของพวกเราอีก 
    ทุกคนเริ่มไม่มีจะกิน ไม่มีค่าน้ำ ถูกตัดน้ำ ไม่มีค่าไฟ ถูกยกหม้อไฟไป ร้านกาแฟปิด ออกแบบไม่มีงาน สภาวะซบเซา ทุกคนยังพอหวังว่าจะมีขาขึ้นมากู้ชีพอีกครั้ง แต่สภาวะมันโคตรไซด์เวย์เลย [side way] เส้นหยึกหยังเป็นแนวคลื่นสั้นสั่นเบาๆออกขวาไป จนแล้วจนรอด มันก็ดิ่งต่อ จบกัน...!
    ตกอับ ขนาดที่เราต้องเดินทางไปหามิตรสหายที่รู้จักที่ร้อยเอ็ด ไปขอช่วยทำข้าวต้ม ขายศาลเจ้า หารายได้คืนไม่กี่บาทด้วยความเอื้อเฝื้อ แบบที่เคยเล่าไป ระหกระเหินเดินทางกลับไปจ่ายค่าเช่าที่ค้างพร้อมเลิกเช่า หนีทิ้งทุกคน ทุกอย่าง ไว้ที่นั่น ...

    ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ "ทิ้งทุกคน ทุกอย่าง ไว้ที่นั่น" 
    ฉันเริ่มต้นด้วยความยโสโอหัง หว่านล้อมชักชวน เชื่อใจ จนเป็นครอบครัว เชื่อฟังกัน
    จบลงดวยการ ละทิ้ง ความรับผิดชอบทุกอย่าง ชีวิตใครก็ของใคร ฉันเองก็เอาตัวไม่รอด 
    หนีไปอยู่ห้องพักรายวันกับคนที่รักเราที่สุด ดิ้นรนกันได้สักพัก ต่อชีวิตได้หน่อย อดยาก จนต้องเดินหาเศษเหรียญหยอดตู้โทรกลับบ้าน ขอตังค์ค่ารถ สิ้นเนื้อประดาตัว หมดทุนหลักแสน สารพัดคำตอกย้ำ หนีกลับเชียงราย ทิ้งทุกอย่างไว้ไม่แยแส ทิ้งแม้คนที่รักเราที่สุด ทิ้ง.... 

    แมร่ง โคตรเห็นแก่ตัว ความกล้าบ้าบิ่นที่รับผิดชอบผลการกระทำไม่ได้ นั่นล่ะเราในวันนั้น
    .

    เล่าทำไม 
    มันฝังใจกับตรงนี้ สิ่งที่ตามหลอกหลอนเราทุกวันคืน ผุดมาให้ระลึกถึงบ่อยๆ จะหลับทุกคืนก็มีแต่เรื่องนี้ 
    เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด รู้สึกแย่ ที่แก้ไม่ได้ 

    หากย้อนกลับไปได้จะไม่หนีกลับมาแบบนั้น ตอนนี้แม้อยากจะกลับไปขอโทษทุกคนก็ทำไม่ได้ เพราะ ตอนเราปิดทางถอย เราเลยไม่รวบรวมสำเนาที่อยู่อะไรใคร การติดต่อทุกอย่างถูกทิ้งไว้ตรงนั้นหมดแล้ว ทุกคนที่ก้าวมาพร้อมกันแบบนั้น ก็คงพร้อมที่จะไปไหนก็ได้ หาตัวยากกันทุกคน 
    ทีมเสียเพราะเรา เพราะฉัน พอเดี๋ยวนี้มีทีมอีก ก็ยังมีทะเลาะกับทีมอีก เราเองผิดเองทั้งนั้น ยอมรับแต่โดยดี ทะเลาะกับทีมคราวก่อนก็โคตรเจ็บปวด ตัดเพื่อนตัดมิตรสหายกันไป พอมีทีมใหม่รุ่นน้อง ออกคำสั่งได้หน่อย ก็เริ่มกลัว กลัวไปซะอย่าง วันหนึ่งออกคำสั่งโดนด่ากลับ โดนรุ่นน้องพูดไม่ดีใส่บ้าง กระเทือนถึงภายใน รุ่นน้องมันไม่รู้ว่าเราผ่านอะไรมา พูดกระแทกแดกดัน แล้วเจ็บว่ะ ...
    สรุป ว่า กลัวทุกอย่าง กลัว ความสัมพันธ์ด้วย กลัวการสูญเสีย 

    กล้ว...!  

    ระบายออกมาให้หมดที่ตรงบทนี้ แล้วฉันจะไม่พูดถึงมันอีก ขณะเดียวกันเราที่ไม่เชื่อเรื่องงมงายทุกอย่าง เรื่องบนบานศาลกล่าวอะไร สุดท้าย ก็ยังตั้งจิตอธิษฐานทุกวันว่า ขอให้ทีมงานที่เป็นครอบครัวครานั้น กลับมาพบกันอีกครั้ง ทั้งทีม กลับมาให้ได้แก้ปมในใจ ให้ได้กล่าวขอโทษ ต่อหน้าทุกคน ได้ฟังคำตำหนิด่า อะไรก็แล้วแต่ ต่อหน้า ตรงนั้น ! . . .

    ณ วันนี้ ฉันไม่มีความกล้าแบบบ้าบิ่นอีกแล้ว ฉันถูกคำครหานินทา บ่น กล่นด่า ฉันกลัว ฉันหมดไฟ!
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in