11
ทั้งชีวิตของผม ไม่เคยปรารถนาจะอยู่กับอะไรได้เกินปีด้วยซ้ำ มิโดริบอกว่าเธอก็เหมือนกัน แต่น่าแปลก ที่เรายังคบกันอยู่แม้จะไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นเมื่อไหร่ เธอยังเอาปัญหามาปรึกษาผม บางวันก็เล็กมาก ๆ ตั้งแต่ขนาดของกิ๊บหนีบผม ขยายกว้างไปจนถึงบทละครในบ้าน ผมยังรอเธออยู่ ที่เดิม โต๊ะเรียนของเราแนบสนิทตามแรงรั้ง ผมไม่รู้จะแนะนำอะไร ผมนิ่งฟัง ฟังเหมือนหินเดินได้ เราคล้ายกันบางอย่าง แต่ก็ต่างกันสิ้นเชิง สำหรับเรา ผมเริ่มมาจากการผลัดถิ่นของแม่ และมีตัวเขมือบที่มองไม่เห็นค่อย ๆ กล้ำกลืนบ้าน ส่วนเธอ มีทุกอย่าง แต่พังตั้งแต่ต้น ผมไม่รู้ว่ามันเริ่มบิ่นแตกจากส่วนไหน ผมดูไม่ออก แต่รู้ว่ามันไม่มีวิธีรักษา วันที่ตัดสินใจแน่วแน่ ดำเนินถึงการหย่าร้างของแม่ ผมไม่รู้ว่าครอบครัวของเราจะไปสิ้นสุดสถานะที่ตรงไหนได้อีก ผมไม่ได้บอกเธอว่าจะย้ายไปเกียวโต เธอบังเอิญมาเจอ – ผมที่กำลังอีรุงตุงนังกับเป้หนึ่งใบและกระเป๋าเดินทางสองใบยัดเข้าคันรถของพ่อ ช่วงอายุของแม่กับย่าถูกแยกห่างจากกันคนละคืบเบาะโดยสาร หน้า/หลัง แบ่งจากพ่อที่ตัดสินใจเลือกย่า กับแม่ที่ตัดสินใจจะรักอีกครั้ง มันคือเรื่องบังเอิญ บ้านของผมกลับมาเงียบสลัวเหมือนวันแรก ผมมองมัน ร่องแตก รอยร้าว รูเจาะ ผิวปูนเรียบ สีเสมอลัดเลาะถึงสีกร่อนไอแดด คอนกรีตมีเนื้อตะไคร่กุม ไม่เคยนึกเสียดายเลยสักนิด เหมือนที่เราเจอกันครั้งแรกในห้องเรียน ผมสบตากับเธอ ตั้งใจจะบอกลา แต่เธอก็วิ่งหนีไปทั้งที่เพิ่งมาถึง ผมไม่รู้ว่าเธอจะกลับไปที่สนามหมู่บ้านหรือบ้านตัวเอง ผมไม่เก่งเรื่องเดาใจใคร แต่มิโดริชำนาญเรื่องนั้นจนน่าทึ่ง ผมจึงไม่แปลกใจที่เธอจะมาเคาะห้องผมในคืนหนึ่งของสัปดาห์ที่สอง คืนที่เธอโผเข้าหาผมเหมือนโลกทั้งใบกำลังจะแตกและอยากลาเป็นหนสุดท้าย ตัวของเธอที่สูงกว่าผมยังดูเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับกระเป๋าใบโตด้านหลัง ก่อนประดังถามว่าหนีมาคนเดียวได้ยังไง
มิโดริออกไปทำงาน แม่ของเธอรู้ดีจึงแวะมา เจ้าตัวมีดวงตาสีธรรมชาติตรงเฉดกัน ผมลองมองให้ลึก ถึงได้รู้ว่ามีแค่รูปปากเท่านั้นที่แผก เธอกุมมือผมแน่น บอกว่าจากลามีอยู่สองประเภท คือ รู้ว่าควรต้องลา กับ รู้ว่าอยากจะลา เธอไม่รู้ว่าลูกสาวจะลาไปนานเท่าไหร่เพราะย้ายเสื้อผ้าออกจากบ้านน้อยชิ้น จากปากของมิโดริ บ้านที่อยู่มาทั้งชีวิตทำให้ไม่อยากกลับไปอีก ลำดับเรียบเรียงขับเน้นเหมือนอยากจะบอกผมว่าเธอพยายามหนีอะไรตลอดเวลา
ผมไม่เชื่อว่าเธอจะหนีจากอะไรบนโลกใบนี้ได้ โลกใบนี้ไม่ได้ออกแบบมาให้เราอยู่หรือหนี โดยเฉพาะคนที่อยากมุดหัวหลบทั้งอดีตและอนาคต แม้แต่คนที่ออกตามหาสิ่งคู่ควร โลกมันเป็นของมันอยู่แล้ว มันไม่มีเวลาพอจะมาแยแสใคร นอกจากนั้น โลก ไม่มี เวลา มีแค่เราที่มอบความทรงจำเชื่อมให้โลกเป็นหลักฐานของการมีอยู่ บรรจบจารึกซ้ำซาก รำลึกบรรพชีวิตซ้ำซ้อน มีแค่เราที่สำคัญตัวไปเอง
ผมพยายามจะผลักไสพวกเขาออกห่างจากความสัมพันธ์อยู่ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
แต่ผู้แพ้ – มีได้คนเดียวเสมอในเกมของตัวละคร
พวกเขาคงรู้ว่าผมเสแสร้ง
“จะไม่กลับไปจริง ๆ เหรอ” ผมถาม ดึกแล้ว เธอยังมีกะจิตกะใจส่งข้อความหวานหยดกับแฟนที่เพิ่งคบกันสามวัน
เธอเม้มปากแน่น จดจ้องหน้าจอบนเตียง “กลับสิ แต่ต้องมีเหตุผลดี ๆ จะกลับ”
“ทำไม เพราะมาแบบไม่มีน่ะนะ” ผมไม่อ้อมค้อมต่อบท และเพราะเป็นตัวเองก็แค่ได้อยู่ต่อหน้าเธอ เธอถึงได้ระบายยิ้มชอบใจอยู่คนเดียว
เธอวางโทรศัพท์ “อย่าบอกนะเราเจ๊ากัน” ผมพยักหน้า
“ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องจนได้โฮชิโกะคุง” มิโดริพูด ผมไม่มีอะไรจะบอก นอกจากวลีติดปาก เพ้อเจ้อ ฉันมี... ผมนึกถึงพ่อ นึกถึงภาพของตัวเองที่คงบอกอะไรกับเขาไป ผมบอกพ่อเรื่องเดียวกันกับแม่มั้ยนะ ผมนึกถึงแม่ ผมบอกว่าผมจะไม่อยู่กับพ่อ และมันก็คงเป็นประเด็นเดียวกันกับสีหน้ารับรู้ของพ่อที่เหมือนอยากโอบกอดผมเอาไว้แต่ก็ไม่เคยทำเลยสักครั้ง ต่อหน้าแม่ เขาทำ ทำเหมือนมันเป็นปรกติของพ่อกับลูก แต่น่าแปลก สัมผัสในอุ่นไอ ผมไม่รู้สึกอะไร แม่ให้ที่อยู่ใหม่ผม ผมไม่ได้ไปหาตามแมปเขียน มันอยู่ในกระเป๋าตังค์ใบซีดที่ผมมักพกรูปของทั้งสองคนเอาไว้ประจำ แต่ไม่เคยหยิบออกมาดู
“พ่อไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงจำหน้าแม่ไม่ได้” ผมในวัยเด็กเอาแต่งุนงงในรูปบอกเล่าของผู้ใหญ่ จำได้ว่าตัวเองโคลงตัวหัวเราะจนหลังงอ ก่อนจะหักศอกชี้หน้าตนบ้าง “ผมล่ะ พ่อจำผมได้มั้ย”
“จำได้สิ” พ่อระบายขำตาม ตื้นเขินเหมือนข้อมือของพ่อที่ผ่อนลงเชื่องช้า หลังคว้านิ้วผมแนบคืนกายนั่งอ่านหนังสือ “แต่แม่ พ่อไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไม พ่อพยายามนึกแล้ว แต่มันรวมเป็นหน้าของแม่ไม่ได้สักที”
พ่อชินมั้ง ผมตอบออกไปทันที สูดหายใจ พยายามไม่หลับตาเพื่อจะนึกหน้าแม่ กลัวว่าตัวเองจะผูกทรงจำระทวยพร่าเหมือนพ่อที่ไม่อาจจำคนรักตนได้ ทว่า ใบหน้าของแม่...มันเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะ ผมจำได้ แต่มันเป็นใบหน้าแม่ในอดีต
ผมอยู่กับปัจจุบัน – มิโดริชันเข่าขนานตรงรอฟังคำตอบ แต่ผมไม่มีอะไรจะพูดต่อ
รูปในกระเป๋าตังค์มันเก่าจนไม่เหมือนคนในครอบครัวผมเอาซะเลย
/
ผมตั้งใจจะถามมิซึกิว่าทำไมเขาถึงเลือกทำงานกะกลางคืน แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก เจ้าตัวในชุดเต็มยศกว่าแขกอย่างผมก็ลุกออกไปทายทักแก้วใบเปล่าของเด็กสาวที่เพิ่งวางลงบนเคาน์เตอร์บาร์
ผมเหลือบแผ่นหลังในชุดฮู้ดขาวตัวหลวมที่ดูจะปรกทับเนื้อตัวเธอเอาไว้ทั่วร่างพร้อมกางเกงยีนส์ผ้าซีดกอมชิดขอบผ้าใบ เดาไม่ออกเลยว่าสัดส่วนผอมกะหร่องและดวงตาเมื่อยคล้ำล้าลึก กำลังปรารถนารสชาติแบบไหนผ่านแก้วกระเบื้องที่ได้รับกลับไปคืนจากมิซึกิ ทั้งที่รูปลักษณ์ดูคล้ายวัยแรกรุ่นกว่าหนึ่งในเราเสียอีก แต่พฤติกรรมด้านชาของเธอกลับไร้ชีวิตชีวาเกินกว่าจะเป็นประชากรของเมืองท่องเที่ยวอย่างเห็นได้ชัด
มิซึกิเดินกลับมานั่งเก้าอี้ตัวเดิม
“อะไรล่ะนั่น” ผมทัดท้าน หลังเห็นว่าเมื่อกี้มิซึกิยื่นโน้ตติดจานรองแก้วไปด้วย
อดไม่ได้ที่จะพุ่งคำสงสัยในคราบขมวดมุ่น หากเป็นผมที่ไม่เผลอนึกขึ้นมาว่าก่อนจะได้ยินเสียงพยัญชนะคล้องชื่อสามพยางค์ของเขาเป็นเพียงวลีโดดเดี่ยวที่ไม่เคยอ้างว้างผุดเข้ามาในหัว สิ่งนั้น ‘เรียบสั้น’ อย่างที่ เรา เคยประสบกันทุกเที่ยงวัน ในเวลาเดียวกันนี้ แสงอาทิตย์ดวงเก่าเคยอาบทอเรือนผมเฉกเปลือกส้มเนื้ออิ่มชวนแสบตา เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นแค่ไม่กี่นาที แต่ความเกี่ยวโยงของสัมพันธ์บนระแนงกั้นเชือกยาวย่ำเคลือบฝีเท้าที่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ ก็ถูกย้อมภายใต้โบว์ผูกร้อยระเบียบทุกครั้งที่ก้มมอง ผมคงไม่มีวันกล้าสั่งให้ริมฝีปากเปล่งอ้าคำขอ จนใครสักคนหันมา ผมคงจะเลือกมองขอบประตูร่องเล็กที่สะเทือนเงาสว่าง ขณะไล้ปิดบานหนืดแน่นเบียดสันเข้าหากันทีละช้า ๆ เกินกว่าจะยอมให้แสงพลบสลัวของพระอาทิตย์เคลื่อนหยดเข้ามา ผมตอนนั้นคงวิ่งออกไป สักที่ ไม่ไกล แต่ใกล้ เท้าของผมจะย่ำอยู่กับที่ แยกทรงจำแค่ระวังว่ามันคือพื้นต่างระดับ ผมรู้ดีทุกครั้ง ถ้าออกไป ก็หมายความว่าไม่ใช่การหลบหนี ผมรู้ชัดก็คราวนี้ ว่าตัวเองจะไม่สามารถหนีจากสิ่งไหนได้อีก มีแค่ฝีเท้าที่ก้าวออกไปเท่านั้น ที่พร้อมจะกดเหยียบลักษณ์บอบบางเหนือผิวคอนกรีตสมจริง ความแห้งผากระหว่างฝืนทนซ้ำซาก ความลุกชันของขนแขนที่โลดผ่านราวเหล็ก เมื่อต้องเคลื่อนออกจากเสียงลมอวลสถานะควัน เหล่านั้น คือวินาทีของการขาดแคลน อาการหลุดลอยนั้น ไม่ใช่จะควานนิ้วหาเครื่องดื่มย้อมกายก็หายเหมือนสิ้นเงาปลิดทิ้ง ถึงตัวจะจากไกล ไกล-และไกล-และกว้างยาวสุดสายตาแค่ไหน ผมก็คงกลับมาตามหามันอยู่เสมอ แม้จะไม่รู้ว่าต้องไปยืนอยู่ริมขอบ หว่างกลาง แนบราง ใต้บันได หลังชานพัก หรือห้องน้ำสาธารณะที่ยังไม่ขจัดกลิ่นเหม็นสาบ แต่ผมกลับไม่เคยหยุด เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกบีบอัดอยู่ในอัตภาพของกลิ่นหืนแห้ง ผมจะกลับไปอยู่ในความคับแคบของรูหนูทุกครั้งถ้าสบโอกาส
ความอบอุ่นของอุณหภูมิร้านทำให้ผมผลักไสมันห่างตัว ปลายนิ้วร่ำลาองศาถาดวางลาเต้ร้อนที่ล่วงกาลมาสักระยะ กระทั่งหยุดอยู่ตรงหน้าพนักงานประจำร้านคนสำคัญ ก่อนจะสังเกตว่าก้นแก้วยังเหลือคาเฟอีนหย่อมหนึ่งให้กระดก ผมจึงยกกลืนต่ออย่างน่าไม่อาย
“เธอมาเติมน้ำเปล่า กำลังทุ่มเทกับวิทยานิพนธ์...เอาเป็นเอาตายไปหน่อย เหมือนจะขี้เกียจลุกไปเข้าห้องน้ำนะเลยมาขออะไรเบา ๆ แทนคาเฟอีน”
“ไม่ใช่ตรงนั้นสิ ฉันหมายถึงกระดาษ”
มิซึกิยิ้มบาง “อ๋อ คายหมากฝรั่งน่ะ” เขาชี้กระพุ้งแก้มฝั่งซ้ายของตัวเอง เป่าลมออกปากจนกลายเป็นฟองฟอดกลม และมันก็ยิ่งทำให้ผมเผยอารมณ์แหยเกแบบปิดไม่มิด “ฟรีต่อหนึ่งเมนู”
“อ้าว- ไหงไม่เคยได้อ่ะ” ผมท้วง
เขาทำหน้าพล่อยจุดหมาย จดจ้องผมเหมือนคาดเดาไม่ถึง “ก็คิดว่าไม่ชอบ...เลยหยิบมากินแทน” เขาเอ่ยต่อ “พี่สาวผมใส่ในโหลแค่พอกะ ถ้ารู้ว่าบิลกับซองหายไม่ตรงกันผมโดนหักเงินจริงนะจะบอก”
ผมเหลือบตาขึ้นมองดวงโคม เหลืออดซะจริง “กินไปเหอะ ไว้คราวหลังก็ค่อยแถม” ผมโบกมือปฏิเสธ ชี้แก้วกาแฟตัวเอง “ขอน้ำร้อนได้เปล่า”
เขาพยักหน้า ลุกอ้อมไปทางหลังร้านอย่างว่าง่าย หายเงียบสักพักก็กลับมาพร้อมจานชิฟฟ่อนครีมสดพอดีมือ
“อันนี้มันอบไหม้นะ ผม— ไม่ได้เลี้ยง อย่ากินข้างล่างก็พอ”
ผมพยักหน้ารับปาก ก่อนใช้ช้อนในถ้วยคนละเมียดครีมเป็นส่วนแรก “ถามได้มั้ย...ทำไมถึงต้องเป็นกะกลางคืน วันยกคลาสเช้านายไม่เข้าเหรอ”
มิซึกิย่นหัวคิ้วหาพื้นที่ว่างหว่างกลาง หมุนจานรองแก้วของผมเล่นแก้เก้อระหว่างนึก “ชอบ...มั้งครับ”
“ชอบแบบที่ยัยนั่นรู้สึกว่าจะต้องหาแฟนใหม่ทุกต้นเดือนน่ะนะ หรือชอบแบบที่ฉันอยากกินเกี๊ยวกุ้ง”
ผมรู้สึกได้ว่าสายตาของเขาคล้ายจะลากคอผมออกจากร้าน ไม่ก็กำลังหาวิธีทุ่มหัวตัวเองโดยที่ลูกค้าในร้านไม่ตื่นตกใจ แต่ทุกอย่างตรงหน้าก็สงบดี มีแค่หัวของผมที่อีรุงตุงนังฝ่ายเดียว
“ไม่น่าใช่นะ...ผมชอบเวลาได้รู้ว่าใครกำลังเข้ามา เขาเรียกอะไรนะ อ๋อ บรรยากาศเดิม ๆ อารมณ์เหมือน เธอ” เขาชี้นิ้วไปยังใบหน้าสวมแว่นเมื่อครู่ เสียงนิ้วกระทบแป้นดังสบสะท้อนลายอักษรบนจอเป็นแสงน้ำเงินวาบผ่านไปมาทั่วเลนส์ใส “ที่จะมาทุก ๆ ทุ่มนึง สั่งเมนูหวานไม่ซ้ำสลับกับกาแฟเย็น หรือไม่ก็คุณลุงกลางคน ที่ใส่ชุดออกกำลังกายเข้ามาสั่งเฟรบเป้เนื้อนุ่ม กับผู้หญิงใส่ชุดนอนที่จะมาสั่งกาแฟเย็นทุกสองทุ่ม ไม่ก็เด็กสาวที่เข้ามาเขียนนิยายเรื่องเดิม ที่มุมเดิม กับถ้วยกาแฟเมนูเดิม พวกเขาไม่ค่อยชอบอยู่เป็นที่เป็นทางเท่าไหร่ แถมวิธีปฏิบัติกับบุคลิกก็สวนทางกัน แขกชุดนี้มาตรงเวลา แต่ไม่ปักใจเป็นหลักเป็นแหล่ง แค่ซื้อ แล้วก็กลับ มันเลยทำให้ผมสบายใจมั้งครับ”
“พูดอย่างกับกะกลางวันพวกเขาจะอยู่เป็นที่ ใคร ๆ ก็ต้องออกจากร้านทั้งนั้น”
เขาส่ายหน้า “กลางวันคือเวลาทองของพนักงานเชียว ใครจะอยากกลับเข้าปล่องนรกเร็ว ๆ ร้านของเราจะแน่นด้วยคนพเนจรจุดเช็คอินไม่ก็แขกหน้าใหม่ตลอดเวลา”
“ก็ดีออก ได้เป็นที่นิยม” ผมบ่นอุบ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เขาหยุดกระหายความเล่า
“มันเหมือนเวลาชีวิตกำลังจะหมด โลกนี้กำลังจะแตก มีการโจรกรรมกลางเมือง สักอย่าง ที่ทำให้เราไม่อยากจะเปิดร้านช่วงกลางวัน มันตรงกันข้ามกับตอนกลางคืนจนผมเคยขอให้พี่เปิดมันยันเช้าก็มี”
“ตรงนั้นน่าจะพิลึกกว่านะ” ผมแย้ง มิซึกิร้องทักว่าผมใช้อุปมาเดียวกันกับพี่สาวตนอย่างกับเลขคู่ขนาน
“แล้วนายฝันอะไร” ผมเลือกถาม โพล่งออกไปแล้ว เหมือนอย่างที่มิโดริชอบใช้มันเวลาผมหมดมุกจะเสวนา แต่สำหรับผม มันไม่ใช่หัวข้อหยุดคำเล่าหรือแฝงเจตนาอื่นเถือกนั้น มันคือประเด็นเท็จจริงที่ผมกำลังสงสัยและปรารถนาจะครอบครองมันให้เป็นหนึ่งเดียวกับผู้คนส่วนใหญ่ที่สวมชุดยูนิฟอร์มเหมือน ๆ กันเกลื่อนเมืองเต็มไปหมด
“อรุณสวัสดิ์” มิซึกิกล่าวตัดหน้าผม “ราตรีสวัสดิ์” เขาทิ้งท้าย
“ผมชอบเวลาได้พูดคำพวกนี้ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าฝันจริง ๆ มันต้องเป็นรูปร่างยังไง ทุกคนในร้านเราก็ไม่ใช่พวกหอบฝันเต็มสองมือ” เขาเพยิดหน้า ยื่นให้เหลียวตำแหน่งเดิม ที่นั่งเยื้องเก้าอี้ริมกระจก “เธอมีมือเดียวแต่พิมพ์อย่างกับมือกล แค่เพื่อได้รับคำชมแล้วกลับบ้านเกิด ยังมีเขาที่วิ่งทุกเย็น แต่ก็หยุดใจรักของหวานไม่พ้น ใครต่อใครก็ต้องทำตามข้อแลกเปลี่ยนของหมอทุกสัปดาห์ก่อนตรวจสุขภาพ กับเธออีกคน ที่ลาออกจากงานประจำ เพื่อมาฆ่าฟันตัวเองไปกับนิยายเล่มหนึ่งหรืออาจจะหลายเล่ม ใครหลาย ๆ คนที่ทะเลาะกับคนที่บ้าน หรือนัดเจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน เวลาทองของพนักงานออฟฟิศ เวลาเศร้าของหน้าที่ที่ต้องหลบหน้าจากคนในบ้าน เวลาสุขใจของคนชอบพเนจร ผมรู้สึกว่าพวกเขาทุกคนเหมือนอะไรสักอย่างที่มาจุดประกายให้ผมมีฝัน แต่ก็ไม่ใช่”
“นายไม่ได้อยากทำอาหารหรืออยู่ในครัวหรอกเหรอ” ผมถาม คงกล้าละล้วงแค่เพราะเคยเฝ้ามอง ในฐานะที่ได้เห็นเบนโตะของเขาทุกเที่ยงวัน
“ก็ดีนะ แต่ในอนาคตผมอาจจะเปลี่ยนใจ เลยตอบใครไม่ได้”
“ดีแฮะ” ผมว่า “...ฉันไม่เคยมี” พูดไปแล้ว
บอก...
ทั้งอย่างนั้นแท้ ๆ
ผมรู้สึกในใจมันโหวงกว้างเข้าไปอีก ทั้งที่ปกติมันก็ควานไม่เจออยู่แล้ว
“พูดอะไรไม่เข้าท่าน่า” มิซึกิหยุดหมุนวงแก้วทรงแบน
“ไม่รู้สิ” เขาพ่นลมแค่นขำ “ไม่มีใครกล้ายอมรับง่าย ๆ หรอกว่าไม่เคยมีฝัน มีแต่คนบอกว่าชีวิตนี้ยังไม่ได้ทำตามฝันทั้งนั้น ถ้าไม่มีโอกาสทำ ก็ยังไม่ลงมือทำ เหมือน ๆ กันเต็มไปหมด” ผมเห็นมือตัวเองกำลังสั่นคลอน แต่ที่นั่งระหว่างเรายังไม่ถูกไหวตาม คนตรงหน้าผมก็ไม่ได้เคลื่อนห่าง สลายร่าง พร่าลาย แยกโทนสีของเนื้อผ้าเป็นรยางค์ฉาบซ้อนกัน
ใจความพร่องไปครู่เดียว ผมรู้ว่ามันน่าอายที่ต้องแนบมือข้างหนึ่งไว้ใต้ต้นขาตลอดเวลา เสียงของธารเชี่ยวไหลคร่อมกรวดหิน เริ่ม กลับไป- เหมือนวัยที่ยังอยากเกลียวกลืนกับปลายแว่วของผู้คนละแวกนั้น หลังจากบรรดาเด็กคนอื่นออกแรงขว้างน้ำหนักทรงแบนลงกระแสน้ำ แสงอาทิตย์หนนั้น เป็นกลิ่นของยามเช้า เช้าเดียวกับที่ทุกอย่างยังเป็นสีขาวโพลน โอบล้อมเหมือนกลิ่นข้าวร้อน ๆ ในถ้วยที่แม่วางมันลงตรงหน้า เมื่อเรายังเคยคุ้นกับการคอยพร้อมหน้าพร้อมตา เหมือนเศษเทปที่ย่าแปะม้วนเข้ากับสายไฟวงกต ผมเคยคิดว่าท่านประดิษฐ์เหมือนเด็กมือบอนที่ชื่นชอบการป้ายน้ำลายใต้โต๊ะเรียน สีทึมเทาของหินก้อนเล็กที่เด็กพวกนั้นจงใจโยนลงแม่น้ำคาโมะค่อย ๆ จมบุ๋ม หล่นตก และอันตรธารหาย จารึกอยู่ในที่สักที่ซึ่งผมคงไม่มีโอกาสเห็น พวกเขาทยอยจากไป ไม่ชายตาถึงผลงานทิ้งขว้าง ฟองอากาศผุดปุด ผิวน้ำตรงหน้าก่อชั้นกระเพื่อม เสี้ยวนาที ความอิ่มเอมก็โผล่หัวขึ้นมา ในช่องแช่แข็ง กล่องอาหารของผมยังแนบนิ่ง ทุกสัปดาห์มันจะวางกองอยู่หน้าประตูห้อง และเช้าวันหยุดมิโดริก็จะเรียงสิ่งคุดคู้ลงบนจานเปล่า ผมเห็นรอยนิ้วมือของแม่กดทับข้าวปั้น บนหินก้อนนั้น ลึกลงไปยังช่องว่างเกินพรรณนา ทุกครั้งที่ฟันกรามเริ่มบดเคี้ยว เทียบเคียงความหนักอึ้งแสนบางเบาของผม ประทับรอยพูดจาของมิซึกิที่ว่า ‘ไม่รู้สิ’ ของเขา จึงเป็นเหมือนความรู้สึกทุกชั่ววันของผม ผมกลั้นหายใจ ทั้งที่ในใจนึกอยากขอบคุณเขา
“โชคนแรก” เสียงมิซึกิเอ่ย
ผมเคลื่อนนิ้ววางบนหน้าตัก อีกข้างโอบอุ้มผิวกระเบื้อง มันอุ่นพอดีเจ้าของ “แต่นายไม่ใช่” ผมมองเขา — นิ่งค้างบนเรือนผมราวแสงอาทิตย์ของหน้ากระดาษระบายดินสอเด็กประถม เงาแสบคันทั่วอณูไม่ได้ทำให้ผมหรี่ตาแคบเหมือนอย่างสัมผัสในอดีต แต่ก็ทำให้เคืองตาแม้อยู่ใต้ร่มเงา “คนที่ได้ยิน...พวกเขา หัวเราะ เหมือนกับนาย ทำนองเดียวกันหมด...”
เขาเงียบ เป็นความเงียบที่ผมยอมรับได้แต่แรก แต่กลับเป็นความรู้สึกที่ไม่อยากให้มันปรากฏต่อหน้า ถึงจะคุ้นเคยมากแค่ไหนก็ตาม “คำถามก็คือ พวกเขาไม่สนว่าฉันจะตอบมันไปแล้วรึยัง นอกจากจะอยากรู้ว่าคนคนนี้ตอบอะไรออกไป”
“เดี๋ยวนะ...” มิซึกิยั้งริมฝีปาก การถูกความลังเลสวมคลุมว่าเขากำลังจะพูดประโยคขอโทษดูจะก่อรอยแผลที่บังเอิญเกี่ยวระหว่างก้าวออกจากรถโดยสารซะจริง “ผมเห็นคุณลุงคนนึงเข้ามาที่ร้านประจำเลย เขาจะสั่งกาแฟร้อนมาซดคู่ครัวซองค์เนย แล้วก็กางหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่อ่านทุกวัน เอาแต่บอกว่าตัวเองไม่เคยทำอะไรดี ๆ ให้สังคม” มิซึกิหยุดเล่า มองหน้าผมชั่วครั้ง รอยเหงื่อชื้นเปียกบนฝ่ามือของผมเริ่มกระเตื้องต่อมสัมผัสให้ต้องผลัดยกมาถูหน้ากางเกงตามมารยาท
“ได้ยินทุกทีเลย เวลาเสิร์ฟเครื่องดื่ม”
“แล้วทำไง” เขายิ้มตอบ เป็นยิ้มที่พักหลังมานี้ผมเริ่มจะคุ้นชินเข้าทุกวัน
“ไม่ทำไง ผมก็แค่ชี้ไปที่หนังสือพิมพ์” ผมขมวดคิ้ว
หนักกว่าเดิม
รู้ตัวอีกที นิ้วปื้นเย็นที่เคยหมุนจานรองไปพลางสนทนาก็กางขอบนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ พรากแนวกว้าง คลายบ่วงชิดออกจากหน้าผากผมจนหัวเอนไปด้านหลังอย่างคนเสียทรงตัว
ข่าวดี!
ยังไม่ทันได้ปริปากด่า เสียงของสมองที่ยังพร่องการประมวลก็หยุดกะทันหันเพราะเธอผู้สวมฮู้ดขาวเดินตรงมายังโต๊ะของเรา คราวนี้เจ้าตัวไม่มีแก้วมาเติมเหมือนเก่า
ฉันจะได้กลับบ้านแล้ว
งานคงลุล่วง
มืออีกข้างของเธอมีรอยแผลเป็นเหวอะ มันเผยโจ่งแจ้งอย่างไม่ใคร่ปิดบังความแปร่งแปลก ผมชั่งใจจะถามมิซึกิทีหลัง แต่กลับมองไม่เห็นความเกินเลยในบริบทอยากจะทราบ
นิ้วเรียวเล็กที่มักทำงานเพื่อหนีความฝันของมิโดริยังดื้อด้านจะไม่ใช้มันทั้งสองข้างอยู่เลย น่าขายหน้าจริง ๆ
ผมถอนใจรดจานขนมหวาน
ได้ยินมิซึกิกระซิบอะไรบางอย่างกับเธอ ครอบครัว-บ้าน-พ่อแม่-คนที่รัก-สัตว์เลี้ยง ชุดสรรพนามสักอย่างที่มิโดริเคยกล่าวและทำให้หมอนของผมเปียกปอนไปกับความวูบไหวท่ามกลางเฟอร์นิเจอร์เหล่านั้น
สักวันมันก็แห้ง...หาย
ผมยังมองไม่เห็นคราบของของเหลวสักอย่างเหนือหางตาตัวเอง
การจะออกมาที่นี่ได้ ผมเคยต้องพึ่งพาเธอตลอดเวลา คราวนี้ ผมแค่กำลังพึ่งพาตัวเอง และเชื่อเขา
แค่เชื่อ...ก็พอ
/
มิโดริเคยบอกผมว่าการที่เราได้มาเจอกัน คือข้อพิสูจน์แล้วว่าสัมพันธ์ของรักมีอยู่จริง แม้จะไม่มีใครเอ่ยมันออกมา มันเริ่มขึ้น เมื่อความคิดถึงของเรายึดโยงเรื่องราวของหนึ่งในใครเข้าสอดคล้องกัน ความรัก ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องอวดอ้าง ฝากฝัง หรือยึดโยง มันคือการที่เราลองอนุญาตให้จิตสำนึก วิ่งตามหาจังหวะที่เรามองไม่เห็น ในเวลาที่เราสัมผัสมัน เราจึงไม่เคยตกหลุมรัก แต่ในทางตรงกันข้าม เพียงชั่วเวลาที่ละอองชื้นแฉะร่วงโปรย ไอเย็นของมัน มักทำให้เรานึกถึงความอุ่นอวล และในความอบอ้าว อาการร้อนรน ก็ทำให้เรานึกถึงลำเอื่อยใต้ธาร มันอยู่ตรงนั้น ตรงที่เรามองไม่เห็น ความรักมีหน้าตาอย่างนั้น สวยงามในความทุเรศทุรัง พิกลพิการในสิ่งอ่อนหวาน และเปรอะเปื้อนในความเสื่อมโทรม สิ่งนี้คือครึ่งเดียวในความเรียงของเธอ ผมอ่าน เพราะความรัก มักเกิดขึ้น ก่อนความหวาดกลัว มันจึงชนะได้ แม้กระทั่งรัก เป็นกองเน่าเหม็น
ผมคิดว่ามันคงเหมือน รัก ทั่ว ทั่วไป ที่เธอยังพร่ำสะกดอักษร คลาสรรพนามต้นของพ่อ ต่างกับถ้อยที่ย่าของเธอใช้มันตบแต่งเข้าตระกูล กิ่งไม้บนหาดขาวจะถูกหัก เพื่อแยกเขียนคำบางคำ และหวังว่ามันจะหวนกลับมา แม้รู้แก่ใจว่าคลื่นประกายคราบน้ำตาสีขาวต้องซัดกลับไป ขณะนั้น มันเกิดขึ้นแน่ชัด เมื่อรู้ว่าอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ก็เพื่อยอมถูกโอบรับ เหมือนเช่น ‘ความรัก’ ที่ลอยล่องไปกับพื้นผิวของเม็ดทรายนับไม่ถ้วน
ท่ามกลางตัวหนังสือของเธอ ผมได้ยินมันกำลังขับประสานเป็นเสียงของตัวเอง ทุกอย่างเรียบง่าย แทรกผ่านทีละนิดและเชื่องช้า นานจนผมได้ยินแถวเรียงระเบียบตราหน้าอยู่ข้างใน ปะปนน้ำเสียงที่บอกแก่เธอว่าเพราะความฝัน คืออดีตที่เราไม่อยากพลัดพราก แม้จะเป็นเรื่องของอนาคต ความฝัน มันเหลวไหลประมาณนั้น ต้องรอให้รู้สึกก่อน เหมือนความรักอันกดทับสิ่งยำเกรง มันจึงเบนเข็มทิศเลี้ยวคดถึงเส้นชัย จะตอนนั้นหรือตอนนี้ คงเหลือแค่ผมเพียงคนเดียวที่ภาวนาถึงตัวเอง เฝ้ามองต่อผู้ปราศจากการลาจากชั่วนิรันดร์ โฮชิโกะคนนี้ถึงได้ไม่เหลือใบหน้าแบบไหนของความฝันให้ประกอบสร้างอีกแล้ว
บางที อาจจะจริงอย่างที่มิโดริเขียนไว้ ผมปิดสมุดขนานมือ ถอนใจหน่ายหนักที่มีแค่ตัวเองได้ยิน มันคงเป็นปลายทางที่สอดพ้องกันของพ่อกับแม่ พวกเขาคงทั้งหวังและไม่หวัง ชีวิตนับจากการต้องขวนขวายล้าหลังทุกสิ่งมันเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา เป็นอะไรสักอย่างที่ซุ้มเสียงของพวกเขาจะไม่มีทางหวนกลับมาเรียกชื่อผมซ้ำอีก ในความอ้างว้าง
มันอยู่ตรงนั้น ตรงที่เรามองไม่เห็น
ค่ำนี้ ผมคงพับไว้ เผื่อว่าเธอจะกลับมาเขียนมันอีกครั้ง เหมือนอย่างที่เคยเราบังเอิญพบกัน ณ ที่ไหนสักแห่ง นอกจากความฝัน
ความมีชีวิตกำหนดให้ผมอยากให้เราเจอกันที่ไหนสักที่ อาจจะ...ในซานฟรานซิสโก เราอาจขับรถสวนทางกันบนถนนลอมบาร์ด ไม่ก็ลงมายืนเหม่อลอยกับกลิ่นไอของสายลมที่พาดกระทบผิวซีดเผือดคั่งด้วยเลือดอุ่นบนท่อนแขน ความคดโค้งเลี้ยวรกของสายถนนจะบรรจบตะวันออกกับตะวันตกจรดริมฝั่งคู่เดียวกัน เหมือนอย่างที่เธอมักสอนให้ผมเข้าใจถึงความห่วงใยบนอาหารของคนในบ้าน ความฝัน คงเริ่มจากตรงนั้น
ตรงที่เกิดก่อนความเกรงกลัว ดั่ง ความรัก
ตรงที่ไม่หวาดหวั่นว่าจะต้องดีหรือไม่
ตรงที่ไม่เคยคาดหวังต่อความปรารถนาในรัก
มันคือเรื่องบังเอิญเหมาะ เหมือน ‘ความรัก’ บนจังหวะ ‘โชคชะตา’
เพราะ จังหวะ คือ อิสระ เป็น 'ตัวกลาง' เชื่อมความคุ้มค่าแก่คนที่ออกตามหามัน
ผมคว้าดินสอบนโต๊ะเขียนต่อท้าย เวลาต้องออกแรงวิ่ง เรากำหนดได้...แต่อาจไม่ใช่ของเราตลอดไปหรือเสมอไป จำไว้แค่ มันมักเกิดขึ้นจาก สิ่งใด หรือ คนใด เท่านั้นพอ เราอาจ...ไม่จำเป็นต้อง____ทุกเส้นทางก็ได้
หวังว่าสักวันเธอจะได้อ่านมัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in