3
I.
ข้าพเจ้าเป็นเด็ก ผู้ไม่เชื่อในความผูกพัน
ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่ม ผู้ไม่เชื่อในห้วงอาวรณ์
ข้าพเจ้าเป็นตัวตน ในตนเอง
เป็นผู้อื่น ในคนนอก
สวมบทผู้ไม่เชื่อ และไม่ถูกเชื่อ
ไร้สิ่งจีรังใด — ที่ซึ่งข้าพเจ้าจะยอมถวายกายแนบเท้านิรันดร์
II.
ท่ามกลาง ข้าพเจ้าเป็นอนันต์
อุบัติล่วง ข้าพเจ้าเปลือยเปล่า
บรรจบเยือน ข้าพเจ้าคอยเฝ้าหา
เมื่อยิน ข้าพเจ้าพึงใจ
สดับงัน ข้าพเจ้าครุ่นตะกอน
ร้างราชืด ข้าพเจ้าหวนถวิล
ปรารถนากรุ่น ข้าพเจ้าใคร่ย้อนคืน
เมื่อย่ำยี ข้าพเจ้าล้วนสูญสิ้น
เสี้ยวกาลไหว ผืนไพรเพรียก ข้าพเจ้ากลับกลายอื่น
ข้าพเจ้าฟื้นจากฝัน ฝัน ที่ข้าพเจ้าเองก็ไม่แน่ใจพอจะเรียกมันว่าดีหรือร้าย ข้าพเจ้าถูกความว่างเปล่ากัดกินปลายเท้าข้างขวา หลังลองชั่งใจเหยียดยกขึ้นสูง ค้างเติ่งอ้างสายตากลางอากาศเหนือฟูกนอน จึงวิสาสะเหตุแจ้งว่ามันยังมีอยู่ เพียงแต่ตะคริวค่อนชาจากการซ่อนเหน็บไว้เบื้องล่าง กำลังละโมบกลืนเนื้อผิวบริเวณข้อนิ้วทั้งห้าที่จมอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนา ซ้อนด้วยน้ำหนักตัวกดทับลงมาอีกชั้น ท่านอนประหลาดตา ที่ข้าพเจ้าไม่เคยแก้ไขได้อย่างถูกทิศถูกทางเสียที แม้หนลืมตาตื่น ข้าพเจ้าพยายามจะเปลี่ยนนิสัยนอน แพลงมาหนุนหัวเข้ากับท้องแขน กลายสรีระท่อนบนเป็นเลขสี่น้อย ๆ ระหว่างเพ่งฝ้าเพดานให้เคยชิน แต่หนแล้วหนเล่า ร่างกายทื่อตรงของข้าพเจ้าก็ขดม้วนเข้าหากันจนเหงื่อกาฬอาบท่วมท้ายทอย พลันสะดุ้งตื่นกะทันหัน เสียก่อนแสงตะวันสาดแยงอยู่ร่ำไป กลางดึกนี้ก็สยบรวมอีกเช่นเคย
ข้าพเจ้าผุดลุก กวาดตามองรอบห้องพักชื้นอวลกลิ่นอับของอาหารสำเร็จรูปไปตามสัญชาตญาณแม้ไม่จำเป็นต้องพิจารณา ขณะเหลือบนาฬิกาวางโต๊ะพอดีมือ อันประดับต่ำกว่าหัวเตียงไม่กี่คืบเซน คอยวิ่งวนชี้หัวเข็มท้วม ๆ เข้าหาเลขห้า เตือนสติข้าพเจ้าซ้ำ ๆ เรื่องรู้ตัวผาดผังเวลาปลุก ย่ำรุ่ง นับครั้งไม่ถ้วน ครั้นแต่วัยเยาว์จวนเข้ารับราชการที่ข้าพเจ้าเสียเวลามาครึ่งค่อนชีวิต เพื่อไล่ต้อนผลของการกระทำให้ตนชะล่าใจ และนับปัญหาเล็กน้อยนี้รวมเข้ากับคำว่ามิตรภายหลังเพราะคุ้นชินกิจวัตร เว้นเพียงลหุโทษผ่านการณ์เมื่อวานซืน ท่ามกลางบทสนทนาของข้าพเจ้ากับ มร. อัชเชอร์ แม้รอยสันนิษฐานบนเนื้อตัวฝ่ายเสียหายกับเค้าหม่นในใจจะเริ่มดำเนินลุ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีประกบถ้อยเอ่ยลาไม่กี่ชั่วยาม เพื่อค่อย ๆ ทอดน่องห่างสถานพยาบาล เนื่องยังไม่กล้าพอจะปริทราบแหล่งพักของ มร. อัชเชอร์ ทว่า มวลเหล่านั้นกลับคลุมเครือเหลือทน เกินจะประมาณเรื่องราวออกมาเป็นภาพรวม
กระนั้น ข้าพเจ้ายังจดจำคำตอบของ มร. อัชเชอร์ ได้เป็นอย่างดี
“จุดนั้น พิเศษหรือ” เขาระบายยิ้ม ฉีกรอยไร้ยินดียินร้ายและไม่รวมทั้งความปรารถนาไว้ในแววคราวเดียว เช่นกันกับข้าพเจ้าที่สังหรณ์ใจเสียกว่าจะยอมรับความสง่างามแผกจริง
ไว้ลำพัง ข้าพเจ้าเสแสร้งว่ามันคงไม่เกี่ยวเนื่อง หากแต่ความประหม่านี้พลั้งรำลึกได้เป็นขั้นเป็นตอนจนน่าละอาย
“ผมไม่คิดว่าเขาจะเลือกลงมือได้บังเอิญขนาดนั้น”
“มันก็แค่...วันธรรมดานะ มร. ฟิชซ์ เพราะคนเราใส่ใจเป็นพิเศษ มันถึงพิเศษ ก็แค่นั้น” เขาเคลื่อนผ้าปูคลุมปรกร่างผู้เสียหาย จากนั้นจึงตรงไปล้างมือยังห้องข้าง ๆ แทนจะคล้องจองประโยคอื่น เพื่อแก้ต่างให้ข้าพเจ้ายอมรับฟังอย่างเป็นรูปธรรม เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ยินชื่อตัวเองผ่านน้ำเสียงลุ่มลึกต่างออกไป ซึ่งคงไม่นิ่มนวลปนขึงโกรธบางเวลาเทียมผู้เป็นแม่ แม่ของข้าพเจ้ามักเรียกเกลื่อนด้วยวลีสั้น ๆ มากกว่าจะควบชื่อต้น อย่าง นอร์เบิร์ต ฟิชซ์ เธอมักใช้สำเนียงเหินสูงพ่วงชื่อกลางโดด ๆ ของข้าพเจ้าได้บ่อยครั้งกว่าใครอื่น ไม่มีใครกล้าเรียกเช่นนั้น หนนี้หนแรก คงต้องเว้นเขาอีกคน จุดนั้น ข้าพเจ้าไม่ถือตัวนักหรอก เพียงแต่รูปเจรจาก่อนหน้ากำลังทวนย้ำให้ข้าพเจ้าตระหนักว่าเขาไม่นับถือศาสนาหรืออย่างไร และเพราะเขาเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าพเจ้ากระจ่างเรื่องการฆาตกรรมเลียนแบบ แม้ยังไม่นับรวมคู่หูคนใหม่ที่ถนัดเรื่องออกตรวจมากกว่าโน้มน้าวทฤษฎีฝังหัวข้าพเจ้า เหตุเลี่ยงการคะเนว่า มร. อัชเชอร์ คงใกล้เฉลยข้อสงสัยฉากเดิม ระหว่างข้าพเจ้าค่อย ๆ สาวถึงความเป็นอยู่ของเขาทีละน้อย จึงยิ่งขับต้อนให้ข้าพเจ้านึกใคร่อยากทำความรู้จักเขาให้พะเนินกว่าเคย ให้มากลืมเท่าที่จะเป็นไปได้ สมกับที่ข้าพเจ้าจะไม่อยากสืบทราบเรื่องของเขาอีก ตราบเคียงความเป็นไป หลายสิ่งเหลือเกิน ที่ข้าพเจ้าไม่ทันคาดว่าเขาจะหลุดปากกล่าวได้ แต่ข้าพเจ้าไม่อยากเสียมารยาทโพล่งถามตรง ๆ จึงกดรอยเคลื่อนกระเดือกลงคอเสียหลังเอ่ยลา
“ลูกต้องหัดรักคนอื่นให้เป็น ลูกต้องลองมีชีวิตเพื่อคนอื่นดูบ้าง” ข้าพเจ้าจำถ้อยแย้งอ้างหนนั้นได้ขึ้นใจ มันคือคำปรารภของแม่ครั้งพร่ำสอน เมื่อข้าพเจ้าเคยมืดบอดสมัยยังอยู่ในโรงเรียนฝึกหัด แทนที่แม่จะบอกให้ข้าพเจ้าหันมารักตัวเอง แม่กลับเตือนสติให้ข้าพเจ้าลองรักผู้อื่นให้เป็น ให้ลุ่มหลงจนถึงขั้นยอมมีชีวิตเพื่อคนอื่น เพราะแม่มีรักให้แก่พ่ออย่างนั้นหรือ ไม่ดอก ตามจริง แม่ข้าพเจ้าครองอิสระตามกระหายจะรักผู้ใดมานานค่อนสี่ปี หลังร้างลากับความสัมพันธ์อันโมฆะของพ่อที่ไม่เอาถ่าน ข้าพเจ้าเองก็เช่นกัน ความรักของข้าพเจ้าถูกกระจัดกระจายไปตามห้วงอากาศ เสมือนแดนดิไลออนที่ยังไม่ถูกเคลือบคำอธิษฐาน อนึ่งเราไร้ซึ่งรักและเมตตา โลกของเราจะมัวหมองและมืดบอด สิ่งนี้ แม่ไม่ได้เตือนไว้ ทว่า ข้าพเจ้าล่วงรู้ได้เอง เพราะหากข้าพเจ้าอยู่ตัวคนเดียวตลอดรอดฝั่งคงแผกมนุษย์ หากไร้ซึ่งสิ่งรั้ง ข้าพเจ้าจะอยากมีชีวิตเพื่อใครสักคนไปเพื่ออะไร
ห้วงเวลาย่ำรุ่งเฆี่ยนตีให้ข้าพเจ้าฝืนด่วนทบทวน ขณะเผลอลืมตาตื่น เพื่อเค้นข้อเท็จจริงก่ายกองว่ามันช่างว่างเปล่า
หน้าที่สอบปากคำก่อนเที่ยงวันเป็นของคู่หูคนใหม่ของข้าพเจ้า หลังเขาไล่ทวนคำตอบให้ข้าพเจ้าทราบ แต่เนิ่นเช้ามืดก่อนเวลาราชการ พร้อมเอ่ยทักเรื่องสีหน้าไม่สู้ดี ให้ข้าพเจ้าลองตระหนกพิษของการโถมงานเกินหน้าที่ จวนแข้งขาของข้าพเจ้าด้านชากว่าทีมจะเข้ามาสมทบครบองค์ประชุม ราวเขากำลังสำราญเต็มที่ที่ได้ถือบทคุณพ่ออุปถัมภ์ ผู้ต้องการจะสอนเรื่องผิดชอบชั่วดีที่ทุกฝ่ายต่างรู้อยู่แก่ใจแล้ว เหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงเริ่มป้องกฎรำคาญเขาแทรกเพิ่มมาอีกหนึ่งข้อเสียอย่างไม่อาจเลี่ยง จนกว่าทีมปฏิบัติชุดใหม่นี้จะลุผลงานตามคำสั่งการ
ข้าพเจ้าแถลงหัวข้อสนทนา ความว่าไม่เคยเชื่อถ้อยสารภาพของผู้คนมากหน้าหลายตาตรงหน้า และเพราะบทบาทของยูนิฟอร์มสวนทางกับหน้าที่หลังม่านแห่งความรับผิดชอบนี้เอง จึงทำให้ มร. อัชเชอร์ ถึงกับกลั้วทำนองแปร่งเพี้ยน ระบายอารมณ์ขันให้ข้าพเจ้าเพ่งเป็นคราวแรกของวัน เมื่อข้าพเจ้าเอ่ยเล่าผลลัพธ์ของคดีเช้านี้ สาวต่อยังพื้นเพสามัญชน ซึ่งสวนแย้งผ่านสายตาข้าพเจ้าเนือง ๆ ขณะจงใจเกริ่นปลายเปิดอย่างสงบเงียบ รอให้เขาเข้าร่วมอุดมการณ์ ว่ามันดูคล้ายทางเปรียบวิ่งจับแพะไล่ชนแกะอยู่ทั้งวัน เกินกว่าจะเป็นสถานระบายทุกข์ประชาชนตามคำสัตย์
มีถ้อยคำมากมายในหัวข้าพเจ้า ที่ยังคงตกตะกอนค้าง ผ่านการต้องโสตซ้ำแล้วซ้ำเล่า และกลายเป็นเพียงเรื่องอุปโลกน์บนโลก เท็จและจริงผสมรวมเข้าหากัน กลายเป็นนิทานปรัมปราซึ่งถ่ายทอดออกมาจากลมปาก จากอักษรทรงจำสู่สายตา จากสายตาสู่ความเป็นอุบายภาพ จากวิสัยทัศน์เลือนสู่กระแสลมเปลือยคำขาน กระทั่งสิงสู่ผู้คนฝั่งตรงกันข้าม ว่ามันคือความจริงเหนือจริง ทั้งในอดีตหรือเผื่ออนาคต ข้าพเจ้ามักชิงย้ำแต่เนิ่นเสมอว่าถ้อยจริงนั้น มักลวงด้วยคำปดอยู่ แม้หูของเราจะกลั่นกรองหรือไม่ สิ่งสิ่งนั้นก็ถูกอำนาจของกลไกป้องกันตัวคอยควบคุมให้ละลายหายร่ำไป หากต้องการจะซึมลึกถึงวิญญาณ
“เพราะแบบนี้ละมัง ที่คุณยังขาดคุณสมบัติเกินจะทำหน้าที่นั้น”
“คุณหมอจะอ้างว่าผมกำลังกล่าวลวงหรือ”
เขาส่ายหน้าเล็กน้อย น้อยเกินจริงด้วยซ้ำ “ที่คุณพูดมาก็ไม่ผิด” แววกลมเฉดผลแพร์บอสก์มุ่งสบใบหน้าข้าพเจ้า พลันวางเลดี้เกรย์ค่อนเซรามิกใบใสที่คงเริ่มชืดลงบนโต๊ะ ละเมียดผละเรียวนิ้วข้อยาวซึ่งคล้องมั่นออกจากหูเกี่ยวชั่วประเดี๋ยว ปล่อยให้ไอระเหยขดวงม้วนใต้หน้าสิ่งพิมพ์บนมืออีกข้างของเขา ข้าพเจ้าลองไล่ถ้วนมาพักหนึ่ง เขาอ่านมันร่วมครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ มวลอากาศอุ่นล้อมโอบพอดีกับแรงลมรอบนอกบานหน้าต่าง ท่ามกลางนี้ดูจะแผกเหมาะกับชุดลำลองแขนสั้นใต้โค้ตตัวนอกของข้าพเจ้านัก แสงนวลจากโคมระย้าเคียงผนังเขียวมะกอกดูสะอ้านตาฉายอาบเรือนกายของเราทั้งคู่ กลิ่นอบขนมปังโชยกรุ่นราง ๆ กระทบความกระหาย ข้าพเจ้าถึงได้สั่งเมนู Frytour Blaunched [1] ตามคำแนะนำมาถ่วงเวลาแก้ขัด ที่นี่คือร้านอบขนมใจกลางเมืองซึ่งมีชาหลากรสชวนให้เลือกชิม นั่นจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับฤดูฝนต่อกิจวัตรส่วนตัวของ มร. อัชเชอร์ หลังเวลางาน เพราะปลายสายจากชั่วโมงให้หลังกล่าวอย่างกันเองว่าเขาใคร่เรื่องการจรดแก้วชาร้อนปราดล้างลำคอเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถึงคราวต้องใช้ความคิด ข้าพเจ้าจึงไม่ท้วงขัดต่อข้อสรุปเรื่องการนัดหมายมาเจรจา ถึงความคืบหน้าในการสืบพยานวัตถุ ณ ที่แห่งนี้ เหตุเนื่องถ้อยเสริมเรื่องรสนิยมส่วนตัวของเขาถือเป็นกิจสำคัญสำหรับข้าพเจ้า เสียกว่าจะหาเรื่องสืบสงสัยการนัดผัง ข้าพเจ้าจึงผลัดลาเจตนาล่วงเกิน ครั้งอยากตะล่อมสำนึกความเป็นอยู่ของเขาไปปลิดทิ้ง
“แต่รู้ไหม...อะไรที่ทำให้ผมยอมมาทำอาชีพนี้” ข้าพเจ้าทอดมองกรอบสีเงินใต้เลนส์ใสบนขอบหว่างสันจมูกทรงสวย ไม่คะเนเลยว่าเขาจะหยิบมันออกมาสวม ยามเขม็งดวงไล้ขึ้นลงระหว่างบรรทัดของภาพข่าว แต่ข้าพเจ้าไม่อาจล่วงธุระส่วนตัวถึงข้อกังขาอื่น เรื่องเขามีสายตาแคบห่างหรือเลือนรางประมาณใดเคลือบช้อนอักษรเหล่านั้น เหนือข้อธุระต่างสารพัน ข้าพเจ้าจึงคอยครุ่นลำพังอย่างละโมบฝ่ายเดียว
“ครอบครัว” ไม่ ข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะถาม ทว่า กำลังตอบตนเองอยู่
เขาส่ายศีรษะต่อช้า ๆ อึดใจกระชั้น ราวสิ่งธรรมดาเยื้องหน้าค่อย ๆ ผนวกซ้อนเสี้ยวหลืบของเหตุการณ์เดียวกันอยู่นัยน์ตาข้าพเจ้า “ผมไม่ได้ทำเพราะรักมัน หรือมีคนบอกให้ทำ ผมทำ เพราะรู้ตัวว่าทุกช่วงนาทีต่อนาทีของทุก ๆ วัน ผมกำลังใช้ชีวิตอยู่ในการทำงานของพวกเขา พวกเขาคงกำลังรอให้ใครสักคนรู้สึกเหมือนผมอยู่”
“คุณต้องการจะตอบแทนพวกเขาหรือ”
“...หากเป็นไปได้” เขาผินปลายคางคล้อยต่ำ ดวงกลมโตเหลือเพียงเสี้ยวเมื่อมองจากมุมข้าพเจ้า “มันอาจไม่สำคัญอะไร แต่เพราะผมเข้าใจแบบนั้น ถึงได้อยากจะมีชีวิตที่ดี”
แล้วดีจริงหรือ ไม่ ข้าพเจ้าไม่อาจเผชิญอาการหวั่นวิตกได้มั่นคงเท่านักเดินเรือที่ประสบพายุโถมกระหน่ำลำพาหนะมานับครั้งไม่ถ้วน ครั้นจะวางขั้นกระไดสนทนาเรื่องส่วนตัว แม้สามารถอนุมานแก่ใจว่าเขาพยายามหลอกล่อให้ข้าพเจ้าถลาตัวเข้าไปเกลือกกลั้วสักครั้ง
เขาอ่านข้าพเจ้าออกหมดจรด จรดแนบเท้า ตรึงเสียจนข้าพเจ้าไม่ทันท้วงติง
เขานำทางข้าพเจ้าคล่องแคล่วยิ่ง หาได้พร่องประสบการณ์
ที่แห่งนี้เร้นอับสัญญาณประภาคาร ปราศจากกระบอกไฟฉาย ดวงจันทร์ หรือแม้แต่ดาวฤกษ์ มีเพียงดวงตาของเขาผู้เดียวที่คงสะท้อนเงาข้าพเจ้าออกมาได้ แม้ห่างไกล
เราต่างก็ถูกทอดทิ้ง
กึ่งกลางป่ารกร้าง
ข้าพเจ้าไม่สะดวกใจพอจะยอมรับได้ว่าทางออกของเขาเป็นทิศที่สมควรหรือไม่ เว้นเสียแต่เขาจะมีแผนที่ไปสู่หนทางกลับบ้าน หากการสันนิษฐานของข้าพเจ้าแม่นยำโดยหลีกอคติ เขาคงไม่ใช่ผู้นำทาง เพียงแต่สวมบทเป็นเจ้าของผืนป่าหลายเอเคอร์ ตรงกันข้ามกับคำเท็จจริงที่เอื้อนผ่าน รวมถ้อยลวงเลือนรางขณะแผดเรียกชื่อของข้าพเจ้า
เสียเช่นนั้นแล้ว ข้าพเจ้าควรจะเชื่อผู้ใดในตัวข้าพเจ้าดี
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in