ท่ามกลางความผกผันทางวิชาชีพขุดหลุมพรางโพรงตื้นเท่าวิธีเพาะเมล็ดพันธุ์ผลเอลเดอร์ว่าด้วยเรื่องกำบังที่เมอร์ริงไม่เคยหวาดกลัว ครั้นสำนึกถึงสถานะของสิ่ง ๆ ใดสิ่งหนึ่งจะพิลั่นพิเทาไปเป็นสิ่งใดสิ่งอื่นได้ กฎแปรเปลี่ยนของธรรมชาติสั่งสมประสบการณ์ให้เขาตกตะกอนมันอย่างแนบเนียนชินตา แม้คราวอยู่ต่อหน้าฝ่ายปรปักษ์เหนือสิ่งเลือนรางจะลอดเร้นสติพรั่นพรึง เช่นนั้น ดวงไฟริบหรี่ไส้ขาวโพลนในมือของเขาจึงมักกระจ่างวัตถุสะท้อนกลายเป็นเงาลำลองเสีย คอยฉาบสวมฝีเท้าผู้คนยามสวนทางขวักไขว่ กระทั่งแรงควบคุมกระบองยาววาววับหน้ามุมตรอก สะท้อนตัดปลายระยิบระยับเหนือรัตติกาล นั่นเพราะสายตาผู้คนจะบกพร่องตามความสามารถภายใต้ขีดจำกัดของธรรมชาติ เขาจึงมีมันไว้ในครอบครอง อำนาจนั้นมาพร้อมกับการมีบทบาทของผู้ควบคุม – เขาต้องพักผ่อน – สายสืบภาคสนามรู้ดี เพียงแต่งานที่เขารับผิดชอบในขณะนี้ กลับล่วงล้ำวิถีทางของสิ่งสามัญเดินดินให้ห่างไกลจากเงื้อมมือฝูงชนเท่าที่จะเป็นไปได้ บังเหียนที่เคยมองเห็นก็พะรุงพะรังมูลค่าเชื่อมสายรยางค์ออกเป็นเครื่องสื่อสารในห้องโดยสารเครื่องยนต์ มันเชื่อมโลกของเราไว้ด้วยประการนั้น ประการหนึ่ง ประการถัดไป และลงรอยซ้ำ ๆ เฉกเดียวกับที่เขาเห็นว่าแอชตัน กวินจรดลากลายปากกาลงบนซองจดหมายของตนที่ไม่เคยกล่าวถึงตนอย่างไม่คิดจะอธิบายต่อความโกร่งกร่าง เช่นกีบเท้าของพาหนะตื่นตระหนกในอดีต ม้าที่ไม่เชื่อฟัง ย่อมกระทืบกีบใส่เจ้าของกุมบังเหียนโดยไม่มีเหตุผล – เมื่อถึงที่หมาย พวกเขาต่างก็ละทิ้งอาหารพวกมัน สำหรับแบ่งกัดก้อนแป้งกลมโตเคลือบน้ำตาลลงท้องไส้ เพราะกระเพาะของพวกเขากำลังสอน้ำลายในปากเต็มทน
เมอร์ริงไม่เคยสงสัยเลยว่าเหตุผลของสัตว์จะเป็นอย่างใดได้ นอกจากมนุษย์เราจะหาเหตุผลของตนใส่เข้าไปในความประพฤติของมัน
พวกอ่อนแอ...จะนั่งละเลียดความงดงามของมวลเหลวท่ามกลางแสงสะท้อนจรัสเงาจากแววตาอื่น – แอชตัน กวินกล่าวติง ขณะโลมเลียสายตาไปทางชายอายุมากกว่า ซึ่งนั่งไขว่ห้างกระลิ่มกระเซ้าสาวสวยหน้าเคาน์เตอร์บาร์
เมอร์ริงถือกล่องอัดยาเส้นพกพาหวนคืนปล่องปลายชายโค้ต เมื่อสบปัญหาพอดิบพอดีกับแววขุ่นเคืองจากหญิงกลางคนฝั่งตรงข้าม คล้ายสาวหล่อนพยามยามจะสยบการกระทำของเขาด้วยประโยคข้องใจผ่านน้ำเสียงสุภาพดังเริ่ม ที่.รัก พลางทิ้งทวนกลเม็ดให้เก็บความขื่นขมเป็นอารมณ์เผ็ดร้อน เหมือนอย่างการกระทำอันชาญฉลาดของเม็ดฝนยามหลั่นกระทบลงบนพื้นกระเบื้องในผังปารีส ซึ่งผลักไสให้ผู้คนยังแย้มยิ้มเพราะทัศนีย์เป็นใจแม้ปรกเปื้อนไอหนาว เสมือนริมฝีปากของเขาที่มักแถลงต่อผู้กำกับการว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ดี และทุกอย่างนี้ ก็ดูจะเคยชินเป็นอารมณ์เยือกเย็นฉายนำเอกลักษณ์เหมารวมบนใบหน้าของเขา ราวกับเวลาต้องอนุมานสิ่งคลุมเครือข้างใต้มวลกระดากอายที่ไม่รู้ว่าจะบอกกับแอชตัน กวินอย่างไรดี ว่าทั้งเขาและโจลีย์ เดวีส์ไม่เคยเป็นอะไรกันทั้งนั้น เหมือนภาพเสแสร้งในทรงจำที่เจ้าตัวคงกระอ่วนเข้าใจไปเองขณะเฝ้ามองลงมาทุกค่ำคืน เมื่อเขาไม่อาจตอบคำถามถึงเหตุผลในการล้มเลิกเรื่องติดต่อเธอไปอย่างถาวรให้บทสนทนานี้ดำเนินต่อได้ อย่างน้อย ทั้งสองทางเลือก ไม่ว่าความเงียบหรือโต้ปด ก็คงช่วยให้กวินไม่ถามเรื่องเดิมต่อได้อีกสัปดาห์ ขณะถ้วนน้ำหนักเช่นนี้ เมอร์ริงจึงไม่ลังเลตัดสินเลือกอย่างหลัง
แม้สายตาของอดีตผู้สังเกตการณ์หอคอยแรมปีหยิ่งคร้านจะฉุกรั้นมากนัก- แอชตัน กวินก็พอทราบแก่ใจครึ่งหลังบ้างว่าบางอย่างกำลังแปร่งพลาด ต่างเป็นลวงขัดสบถในน้ำเสียง
อีกไม่ช้า มวลเหลวเหล่านั้นคงระเหยขมวดเป็นไอร้อนชื้น พวยพุ่งสู่ฟากฟ้า และแปลงตกเพียงสะเก็ดแสบคันลงบนหน้าดินสาบโคลน ตมหยดเหลวแหลกมักจำนนอยู่แค่ในภาชนะใดภาชนะหนึ่งเสมอ และเพราะมันเป็นอิสระ เฉกเช่นความหวังและความฝันของผู้คน ทว่า ถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้ถูกรังสรรค์มาเพื่อยอมให้ใครคนหนึ่งเข้ามายึดหวังเป็นเจ้าของ แท้แล้ว พวกมันล้วนกำเนิดมาเพราะจุดเชื่อมซึ่งใช้ความเป็นเอกระได้อย่างสิ้นเปลือง ทั้งที่ปฐมบทก่อนกาลเคยมีเจ้าของร่วมกัน คือรากเหง้าของพื้นฐานที่ถูกบำรุงเลี้ยงมาจากลำต้นเพียงหนึ่ง ท่ามกลางยอดลิบตาชูคอเลียนแบบบรรดากิ่งก้านซึ่งแตกแขนงหัวเรี่ยวหัวตอไปอย่างไร้หมุดหมาย คือรัศมีในความหวังของประกายฝันนับอนันต์ มนุษย์ลงมือปลูกต้นไม้ ส่วนหนึ่งคงเพื่อเผื่อแผ่ร่มเงา เช่นเดียวที่แรงฝันยังปลูกความหวัง เพื่อบันดาลปลายเท้าตื้นบางนี้เดินไปข้างหน้าโดยไม่เสียหลักหันกลับไปมองทางข้างหลัง เริ่มจากจุดต่ำตมและมุ่งฝันจะงอกเงยสู่อะไร ๆ ที่ดีกว่าพื้นดิน – มันจะงดงามด้วยตัวเอง ก็ต่อเมื่อเรามองเห็นโดยไม่ต้องพึ่งเงาสะท้อน เขายังไม่บอกให้ชัด เหนือกลิ่นร้อนกลัดรุ่มของลมหายใจเคลือบฤทธิ์แอลกอฮอล์ ทุกการกระทำในสายตาของกวินช่างเนิบสั้น รุนแรง ขณะที่บางครั้ง ก็เหมือนจะบกพร่องเสียร่อยหรอด้านผัสสะ ประหนึ่งจะรู้สึกฝืดเคืองหลังย้อมปดว่าอิ่มเอมเพราะไร้แรงพึ่ง ไปจนถึงโขลกขลากในอารมณ์หิวโหย น้ำเสียงทุ้มทวนของกวินสิ้นไร้ความปรารถนาเหมือนฝีเท้าชะลอเหลียวอย่างสุขุม ราวกวางดาวที่สงบนิ่งหลังเห็นเพื่อนพ้องตนถูกกรงเล็บและคมเขี้ยวนักล่าฉีกกระชากความดำมืดออกมาเป็นตัวเป็นตน กระเด็น เป็นลวงเป็นตา กระจาย เป็นเงาเป็นสาง แทนที่จะเป็นเนื้อหนังของพวกมันเอง แปลกแยก เฉยชา เมินแผก คลาคล้ายจะทวีเผาแต่กลับคลอทับไปทั้งน้ำตาและความโล่งใจล้วนคือความเจ็บปวดที่เมอร์ริงสังเกตอยู่บ่อยครั้ง
เมอร์ริงแกว่งฐานแก้วบรั่นดีในมือช้า ๆ ผิวเย็นเฉียบกดแทรกลงบนฝ่ามือซีดจางยามประคองทรวดโค้งอวบมน ขณะกลั่นตรองมวลชื้นผ่านถ้อยลิ้มรสสัมผัสเช่นนั้น พาลถวิลร่ำถึงรสจูบแตะผะแผ่วยังกลีบชืดของเขา ซึ่งถูกผละถอนออกอย่างเจียมตัว เป็นริมฝีปากของเดวีส์สะท้อนโอนอ่อนอยู่ในน่านผิวสีอำพัน ผ่องไหวเหนือแก้ววงใสเรี่ยลื่น ใต้ปลายนิ้วบิดพริ้วไปตามกระแสเวียนว่ายดูไม่เป็นทรงยิ่งเมื่อข้อนิ้วของเขาทาบปิด มันทำเขาปวดหัวใช่เล่น
แอชตัน กวินไม่เคยบอกเขาด้วยว่าดวงตาที่ไม่อาจสะท้อนเงาของสิ่งตกกระทบจากอะไรใดใด มันมีอยู่ที่ไหน มันมีในโลกเป็นจริงของเราหรือเปล่า หรือมันจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วบนโลกคับแคบนี่ มันควรอุบัติเมื่อไหร่ มีจุดเริ่มต้นเป็นสิ่งใด หรือมันเปรียบเสมือนผิวเชอร์รีสุกปลั่ง เกินกว่าจะเป็นผลึกแข็งวาวฉ่ำเบื้องล่างอันทับวงเรียวลึกของแสงตัดเงาสะท้อนจากเนื้อแก้วหนาใสธรรมดา ๆ แบบที่เราลุ่มหลง เมื่อรัตติกาลแฝงร่างสงัดงันเข้าครอบงำ อย่างไร...
และมันก็เป็นเช่นนั้น เมื่อละอองฝอยตะปุ่มตะป่ำแฝงกระเซ็นอาบไรขอบเส้นจอประสาท ประดับติดพื้นผิวดวงกลมทั่วอณูเยื่อแก้วปลั่งสว่าง ระอุคั่งแค้นราวกับจะเบิกโพลงมองลึกลงไปในเงาของปีศาจที่เขาตามหาซุ้มเสียงของมันไม่พบ
ตรงหน้าเขา
ร่างของมิสซิสซิลลิแวนในเช้าวันเสาร์...
การตกเป็นอิสระของมัน คืออิสระในการแปลงสถานะ — ต่างหาก
ตรงนั้นเสีย คือ อิสระแท้จริงในวิถีรอยสีชาด
ชาร์ลส์ปรี่ตรงเข้าไปในห้องของมิสซิสซิลลิแวน ความกระวนกระวายกระเสือกจุดมุ่งหมายให้เขาเลือกหยิบถุงมือยางซึ่งพกฉุกเฉินไว้ใต้ซอกโค้ตขึ้นสวมโดยไม่ฟังคำทัดท้านจากผู้ใหญ่ที่ไม่อาจรั้งตัวเถ้าของปูนร้อนต่างเยาว์เอาไว้ทันท่วงที
ชายหนุ่มทาบข้อนิ้วลงบนลำคอวางระหงเหนือหมอนใบโตของผู้เป็นเจ้าของเรือน ราวหวังให้พรข้อขบถต่อม่านนัยน์กลายเป็นเพียงฝันร้าย
เด็กนั่น-ฉลาด-ก็จริง แต่เขาเห็นใจผู้คนเกินไป เขากำลังทำเรื่องไม่เป็นเรื่องเอาเสียเลย เมอร์ริงนึกพลางถอนใจ ระหว่างรองผู้กับกำปลีกธุระผละทิ้งวงเท้าตรึงทื่อ แหวกนัยน์เวทนาออกไปดึงตัวสาวใช้ให้ถลาตามไปยังโถงครัวเพื่อรอเป็นปากพยานสำคัญ และย้ำให้เขารีบแจ้งทีมสืบสวนกลับเข้ามาสมทบ ก่อนจะหยิบยื่นหน้าที่กั้นเขตหวงห้ามให้เป็นบทบาทชิ้นอลังการใส่ฝ่ามือเขา แทนการจะทำอะไรเกินตัวเหมือนอย่างคู่หูสติแตกพลั้งทำ
เขารู้ดี มันไม่เคยเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นมาก่อน แต่เป็นซ้ำเล่าในทรงจำ ไม่ต่างอะไรกับร่างซีดเผือดของสหายร่วมสถานีป้องกันกองบินข้าศึก ครั้นตัวตนนั้นรามือแยกจากหน้าที่พึงแบกรับไปชั่วนิรันดร์
หมอนั่น... มีรอยวาดบั่นช้ำของริ้วบาดกว้างข้างลำคอ กว่าเมอร์ริงจะพบเข้า มันก็สลายพังจวนวิญญาณของเขาแห้งเหือดในชุดหมองราศีกากีไปแล้ว เหลือทิ้งเพียง — เงาเกล็ดใต้เคียวแหลมจรดชุดคลุมยาวของยมทูตผู้ครองวิชชาในความทุกข์ยากแด่ปวงสัพพะ ที่ผ่าแยกเส้นเอ็นของชายหนุ่มเสียจมเหวอะ มันไม่เต้นตุ้บ ๆ เหมือนอย่างวินาทีสุดท้ายจะแลลับ ทว่า รอยสมานของเม็ดเลือดช่างทรหดเสียน่าตะลึงงัน พวกมันรวมตัวกันผลิบานเป็นแอ่งหลุมคล้ายร่องแหลมปลายเล็กซึ่งขังอุ้งเท้าสัตว์กินเนื้อไว้ภายในสำหรับเวียนไล่เจาะรูเข็มหารู้แหล่งสิ้น ขณะปกคลุมร่องพิการหวิ่นวาวเหลือทน ดวงครู่เคยสันทัดโค้งมนยวนน่าถนอมก็ปูดโปนออกมา เหมือนคนกำลังเอ่ยขอเขาเรื่องสำคัญแต่ก็ไม่มีโอกาสจะพูด
คนตาย...จะไปมีสิทธิ์พูดอะไรอะไรด้วยหรือไง มีแต่อะไรอะไรของคนเป็นที่วางโครงเรื่องให้ คนตาย...จะไปแก้แค้นอะไรได้ นอกจากรอวันไห้คนเป็นโหยให้อาวรณ์
เขาเงียบเสียง ไม่ใช่เพื่อหลีกฟังอารมณ์ตระหนกปนหวาดระแวงของเจ้าหน้าที่ฝึกหัด ซึ่งสันนิษฐานไม่ผิดแน่ว่าอีกฝ่ายคงเพิ่งเคยเจออะไรเช่นนี้เป็นครั้งแรก ไม่ก็- เด็กนั่นคงรู้สึกผิดที่ตัวเองทำอะไรบางอย่างหล่นหายระหว่างทาง ก่อเป็นเรื่องผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่ความรู้สึกบั่นทอนลึก ๆ ใคร่จะกดย้ำว่าเขาได้กลายเป็นคนไม่เอาไหนนับแต่บัดนี้ เรื่องนั้นนั้นคงกลายเป็นสิ่งไร้ความรับผิดชอบถึงที่สุด เสียอยากวิ่งออกไปพุ่งข้าวปลามื้อประทังกายสับปะรังเคออกเป็นยางยวง เช่นกันกับที่เมอร์ริงมักตกเป็นเหยื่อของมันทุกครั้ง เมื่อร่างกายของเขาสังหรณ์ถึงบางสิ่งบางอย่าง — หลายครั้ง ทำนองโหยหวนปริศนาก็มีช่วงอาทรเป็นกรณีพิเศษเมื่อตกอยู่ภายใต้แสงตะวันเดือด ริมฝีปากที่ไม่อาจทราบแหล่งริเริ่มจะลอยล่องสลับแผ่วอ่อน คราวโผล่สัญญาณหวีดแสบ หากพร่ำตามตัวต้นเหตุในวงแถวเพี้ยนแผกไม่พบ มันจึงทดแทรกรางวัลเป็นอื่น อย่างการเคารพตอบโดยง่ายด้วยการเอื้อนสวนจังหวะผิวปากเนิบเบาคอยทิ้งช่วงห่างเตือน เมื่อบรรยากาศหวิวชื้นรอนสุมพร้อมเงาแดดสลัว พวกมันต่างก็ชื่นชอบวิธีขับร้องผสานความเริงรมย์เรื่อยมา ดังที่ผู้แสวงกรุณาต่อปลายนิ้วเอื้อการุณซึ่งพ่อพร้อมจะอภัยบาปมหันต์แก่บรรดาลูก ๆ ยามแขนและขาทั้งสองคู่ไร้เงาหน้าเต้นระส่ำเหนือแรงไหวสะเทือนของทุกอย่างสบตอบม่านนัยน์ซึ่งมลายห่างทีละน้อย พวกมันจะรอคอยอย่างสงบเจียมข้อกะลาครั้นคลึงใกล้ซากเนื้อเน่าเปื่อยบนพื้นเฉลียง เพียงคอยทะลวงให้ซุ่มเสียงอัปลักษณ์เรียกพวกพ้องเข้ามาล้อมวงเต้นรำต้อนรับคนอย่างเราเรา
ถ้าพูดถึงความตาย
ความตายจะมาเยือน
กฎข้อแรกของหัวหน้าผู้ดูแลประภาคารกล่าวเตือนไว้ ไม่เคยมีครั้งไหนไม่จริงเลยสักนิด
แอชตัน กวินพูดถูก
“เธอ...ไม่หายใจแล้ว...” น้ำเสียงสั่นเครือของชาร์ลส์เอ่ยขึ้น
“...เราช้าไป” เมอร์ริงตอบ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่เหมาะพอจะเป็นประโยคปลอบใจ
ยามเช้าของแยกถนนโฮลบอร์นไม่ได้ช่วยให้ลวดลายของอาคาร โบสถ์ โถงประชุมและงานเลี้ยงอันระดารกแมกพรรณสวยสดคดเงา ตามด้วยเคาน์เตอร์ไม้มะฮอกกานี โมเสกหินอ่อน แบ่งกระเบื้องปล่องไฟห้องประชุมออกเป็นลวดลายของสัตว์ปีกบางจำพวกเข้ากับลวดลายจากเครื่องปั้นดินเผาดูสะอ้านปลั่งโฉมเงางาม หลังถูกบูรณะให้เป็นไปตามแบบฉบับเดิมของชาวบริเตนและรับการขึ้นทะเบียนเป็นอาคารอนุรักษ์ กระจกสีและจิตรกรรมฝาผนังซึ่งแสดงให้เห็นพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ในรูปนกพิราบโดย ไบรอัน โทมัส ได้รับการปรับปรุงหลังเหตุการณ์เพลิงใหม่ครึ่งศตวรรษ แทนที่พวกเขาจะรื้อถอนอาคาร หลังสงครามลอนดอนบลิตซ์ ในปี 1941 เมื่อโบสถ์เหลือเพียงกำแพงรอบนอกและหอคอย การตัดสินใจถูกเลื่อนและยื้อลากออกไปร่วมนับกาลไม่พ้นกอหญ้าร้างรกจวนล่าช้า กระทั่งมีการบูรณะขึ้นอีกคราว แบ่งเป็นแบบหินเป็นหิน อิฐเป็นอิฐ ทั้งตามเดิมและตามจริง ไม่เช่นนั้น หนึ่งในข้ออนุโลมคงอยากแผ่เอื้อให้เหล่าหัวสมคบทั้งหลายรำพึงเรื่องสมศักดิ์และสมญา เพราะพวกเขาลงความเห็นว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องแปลงความงดงามดั้งเดิมออกไปเป็นรูปแบบตามสมัยนิยม แค่โยกตำแหน่งทวนลมตามแรงเสียดสีของวลีกักขฬะนิยม ผู้ปรารภเพียงถ้อยหักล้างจารีตฉากเดิม ซึ่งบังคับให้บทบาทของกระเบื้องโปร่งแสงเป็นเงาสะท้อนแก้วสะท้อนใส
ทราบดังนั้น เมอร์ริงจึงขอลงความเห็นส่วนตัวว่าเมืองที่บูรณะได้ครึ่งค่อนทางคงไปได้ดี แต่มันกลับชวนหดหู่และไม่น่าอภิรมย์นัก ยามทอดน่องอาด ๆ เยือนฝูงชนสวมผ้าหลากชิ้นแสนหม่นเมา ณ ที่แห่งนี้
หลังข่าวลือแพร่สะพัด ผู้คนในตลาดค้าขายต่างลงความเห็นว่าอยากให้ภาครัฐจัดการบ้านหลังนั้นเพราะมีศพคนตาย มันเป็น ‘ฆาตกรรมผี’ พวกเขาเล่ากันปากต่อปากกันทำนองนั้น สารวัตรและรองผู้กำกับเองก็จนใจจะฟาดอารัมภบทมาขยายเจตนา เมอร์ริงเองก็คิดว่าหน้าที่ที่เขาได้รับมานี้ดูน้อยนักน้อยหนาต่อสิ่งที่เขามั่งมีและวางมาดคล้ายท่วมท้นล้นทรวง คำถามที่ยังอยากรู้ความเป็นไปไม่ได้มีเพียงแค่ลายอักษรบนจ่าหน้าซอง – เขาไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดออกมาได้อย่างไรดี และมันก็ยิ่งพอกพูนสิ่งคับข้องใจเพราะแอชตัน กวินไม่ได้อยู่ร่วมกับเขาอีกต่อไปแล้ว มิตรคนสนิทของเขาเลือกสรรค์ไหวพริบแจงต่างความชังว่าจะออกเดินทาง- เพียงแค่...ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยว่าจะไปที่ใดพิเศษ ไม่ได้บอกว่าอย่าห้ามหรืออย่าตามมา แลทราบดีว่าเมอร์ริงคงไม่เลือกทางไหนสักอย่างในบริบทชวนขยำกลืนเป็นสายลมผ่านคำลา
ทว่า แอชตัน กวินที่เมอร์ริงรู้จักช่างแปลกประหลาด แทนที่จดหมายเร่ร่อนตามหลังจะกล่าวเรื่องน้องสาวตนเอง เขากลับยังติดต่อกับครอบครัวที่แม้จะไม่ใช่กระทั่งผู้ให้กำเนิดกายโคลงเคลงเป็นโครงก้างได้อย่างกันเองร่วมเดือน แม้เมอร์ริงจะจ่ายหนี้ชำระเสแสร้งนั่นครบแล้ว กวินไม่ทำเพียงเพรียกดึงภาระสัมพันธ์เกลื่อนหน้าอีกต่อไปว่าเป็นบุตรชายแสนซื่อตรงของตระกูลเมอร์ริง หากแต่เนื้อหาด้านในที่ส่งไปยังรั้วบ้านของเมอร์ริงก็เป็นตัวเอง เป็นเขา แอชตัน กวิน เป็นชายผู้หนึ่ง ลำพัง เป็นเพื่อนคนสนิทครั้งเทียวเล่นเทียวหัวในสวนกะหล่ำหลังบ้าน ยิ่งคำตอบของพ่อสร้างโจทย์แง่บวกต่อลายลักษณ์ฉบับส่งเยือนตามที่อยู่เดิมมาถึงมือเขา ตรงตามสถานพักพิง ตรงตามเหตุ- เมื่อครั้งเคยอาศัยร่วมตะแคงภาพผ่านผืนลินิน เมอร์ริงก็ยิ่งรู้สึกถึงขั้วลบในระยะห่างที่เขามีต่อพ่อ ราวกับชายสองคนในแผ่นพับกลีบหอมเริ่มปรุงแต่งให้หนึ่งในสองปัจเจกหลอมกลายเป็นปรัศนีแปลกหน้ายิ่งขึ้น เมื่อเขาม้วนซองจดหมายเปรอะราวอักษรทิ้งหางรกเฟื้อยและถ้อยห่วงใยลงไปในชั้นร่วมไปป์อันใหม่ที่ไม่เคยหยิบออกมาใช้ แม้พักหลังมานี้ ชายหนุ่มต่างชน (ที่คงจะไม่แค่วัยเดียวกัน) เหเปลี่ยนมาเลือกไปป์กลิ่นหอมหวานเป็นรางวัลชีวิตโดยถ้วนแทนไส้จากเกลียวด่างคลุกฝุ่น เมอร์ริงเองก็ได้รับมาจากกรุคลังร้านของมร. อีแวนส์ตามคำแนะไต่ระดับแยกข้อต่างในรสแปร่งเช่นกัน เหตุไม่ประสีช่างเลวทราม ดูชอบพอเสียให้นึกเรียบเรียงคำพูดออกมาเป็นแรงสบถนัก เมื่อปลายเท้าของตนยังคอยย่ำอยู่บนคอนกรีตหน้าเดิม อย่างน้อย ก็ขอให้มีสักอย่างเปลี่ยนไป... ในมือ ก็ย่อมได้ เขานึก หวังว่าจะไม่ขลาดอายจนยอมเล่าบทเท็จจริงออกไป ขณะยลแลก
หลังละครชักม่านปิด สารวัตรแอชเชอร์สาธยายกับเขาว่ามันเป็นการฆ่าตัวตาย มิสซิสซิลลิแวนคงเสียใจเรื่องสามี อาการประสาทอ่อน ๆ สามารถกำเริบได้หากไม่มียาระงับต่อเนื่อง ซึ่งเธอก็เคยเข้ารับการรักษาโรคนอนไม่หลับอยู่ระยะหนึ่งตามคำสอบปากพยาน สาวใช้ยังบอกอีกว่านายจ้างของหล่อน เคยเข้ารับการกระตุ้นไฟฟ้าอยู่สามเทียวแต่ก็ล้มเลิก เพราะพลังงานเสถียรพิลั่นร่างกายเคยเคลื่อนเหินคล่องแคล่ว พาลแว้งปวดโคนขาเสียต้องไกวนิ้วเพรียกสาวหล่อนเข้าไปลอบกดจุดกลางดึกสุมเตียงเปลี่ยว รุ่งเช้า เธอกลับกะปลกกะเปลี้ยพลันล้าเมื่อต้องลุกขึ้นมาใช้ชีวิตประจำวัน ความเพิ่มอื่นก็ล้วนประกอบจากแว่วเงาเพื่อนบ้านเคียงเรือนสูง ถัดสิบย่างเฉียงหัวระแหงคือแหล่งค้าปรุงเรือนมือสองของมิสเอร่าและมร. เฟรเบียน ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมธุรกิจเพียงหนึ่งเดียวในละแวก สองพี่น้องตระกูลอีแวนส์เล่าว่า คืนที่เงาของรอยนิ้วผีบุกรุกบ้านหล่อน มร. เฟรเบียน อีแวนส์เองก็ไม่ส่อเห็นพิรุธใด ทว่า เรื่องฉงนสนเท่ห์กลับสะพัดล่วง กรายทอดไปไกลจากตรอกสลัวนี้ เนื่องเพราะบทต่อหูระแวงข่าวเหนือบานหน้าต่างของตัวเรือนถัดชิดที่ชักม่านฉาบสนิทตามคดีปิดตายรอวันระบุ แต่ถึงอย่างนั้น ผู้คนมากหน้าหลายตา กระทั่งรอยเท้าแปลกบ้านพลัดเมืองย่อมเวียนมาเชยชมและยินดีจะแลกของชิ้นใหม่ประมูลราคาในร้านของเขาอยู่ไม่น้อยเพราะเป็นสิ่งนำเข้าป้ายผลิตดี มีให้ชมทั้งแปลกตาและบำรุงเก่าโทรมให้เหมือนเพิ่งออกอุตสาหกรรมเอี่ยมอ่อง หากไม่นำของชิ้นเก่าออกไปแต่งเสริม และส่งของชิ้นใหม่ขายทอดตลาด พวกเขาก็กำเหรียญมาเพื่อประสงค์จะรอมริบสินค้าสำหรับประดับความขลังเงาใต้โถงชานพัก เหล่าพเนจรทั้งหลายมักลือทั่วว่า ชั้นสองของบ้านเลขที่หลักคู่ภายใต้สัญญาฉบับถือกรรมสิทธิ์เดิมของมิสซิสซิลลิแวน ราวมนตร์ลึกลับให้เคลื่อนสายตาผินจ้องริ้วม่านพลิ้วแรงลม แม้บานพับแผ่นนั้นจะผสานกันแนบแน่นเมื่อมองทะลุจากภายนอก ทว่า แรงกระเพื่อมเชื่องช้าข้างใต้ดูราวกับเป็นฝีมือของใครผู้หนึ่งโบกลากระลอกคลื่นแผ่วเลือน คราแรงรักทิ้งโฉมสะองสัมผัสเคลือบใยสังเคราะห์อันนิ่มนวลเหย้าแดดบ่าย และเมื่อยิ่งจดจ้อง พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกราวถูกใครบางคนหรือดวงตาของบางสิ่งบางตัวจ้องมองลงมาทุกครั้ง ที่มองขึ้นไป...
แอชตัน กวินเคยบอกเขา เรื่องการอยู่อย่างถูกที่ถูกทาง มันคล้ายกับตอนที่นักดนตรีชื่อดังถูกไล่ออกจากโบสถ์เพราะคุณนายบิชอปไม่ใคร่พอจะชั่งใจเรื่องรำคาญโน้ตนอกตำรา หรือเพราะศิลปินเร่ร่อนถูกดุว่า เรื่องบรรเลงเครื่องสายขวางเส้นทำกินบริเวณหน้าร้านอบขนมและลักษณะของบันไดเสียงพวกเขาก็ขัดวิถีปัญญาชนจัดสำรับชาสำหรับคนเมือง ใช่ว่าทุกทางที่เราเลือกเดินจะไม่สำคัญ แต่เพราะความศรัทธาของการเป็นใครต่อบุคคลฝั่งตรงข้ามนั่นต่างหากคือสิ่งจำเป็น ดังเช่นที่เราต้องเลือกให้ได้ว่าจะสวมยูนิฟอร์มแบบใดสาวใกล้รองเท้ารูปแบบใด รวมเป็นน้ำเสียงที่เมอร์ริงคาดว่าเขาคงไม่มีวันได้ยินมันอีกต่อไป พอ ๆ กับกรอบวาดท่ามกลางเขม่าด้านเทาทะมึนนั่น ร่างทั้งร่างนั้นช่างน่าพิสดารเหลือทน และยังพิลึกชวนขยาดเกินกว่าจะพูดได้ว่ามันทำให้ใครใจเย็นลงได้ ตามอย่างที่เจ้าตัวออกความเห็น
เขามองเงาสะท้อนของตัวเองในแก้วบรั่นดี ขณะโบกมือเรียกบริกรในทีก็ดูเหมือนเสียงของอะไรบางอย่างจะสาดกังวาลอยู่ในหูของเขา ราวกับพวกมันจะยอมให้เขาบีบนัยน์จำนนความสนใจมายังเรื่องของมันเพียงผู้เดียว เมอร์ริงจดจ้อง สายตาของมันเป็นสีแดงฉาน
เหมือนเช่นครั้งดวงตาของแอชตัน กวินและสาวใช้เรือนพักมิสซิสซิลลิแวนบังเอิญเห็นอย่างสอดคล้อง ก่อนที่ยมทูตจะหมายเยือนผู้คนรอบตัวสู่ธรณีมืดดำ
เมอร์ริงนึกอยากรุดกายเบี่ยงออกจากโต๊ะในลำดับจองเพื่อหลีกไปอาเจียน
หากแต่ใบหน้าของบริกรตรงหน้าทำให้เขาคิดถึงเดวีส์ ไม่ก็ อย่างหนึ่ง -เดียวดาย- ในความว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งตัวตนของชายหนุ่มคู่ใจเช่นแอชตัน กวินร่วมทรุดกายแลกถ้อยสนทนายังที่นั่งฝั่งตรงกันข้าม ไม่เพียงแค่ว่าต้องกลายเป็นฝ่ายแปดป้ายเนื้อหนังสีใด เพื่อซ่อนบังเรือนผมปรกสวนทิศเงาข้างใต้ปากแก้วเว้าลึก
— สองริมฝั่ง มันกลับทำให้เขานึกอยากสบถสะท้อนออกมาชั่วขณะ
ไอ้ตัวโสโครกนั่น...
ไม่เคยจากเขาไปไหนไกลเลย
“ช่วยเปลี่ยนแก้วให้ผมที” เขาเอ่ย
คล้ายความนิ่งงันในอิริยาบถของชายผู้อยู่เบื้องหน้าเมอร์ริงจะตอบคำบางเบาในน้ำเสียงนุ่มนวลกลับมา ท-ว่า เหลือเพียงเสียงในถ้อยอนุมานกลวงเปล่าของเขาเสียเอง ความเงียบงันของมันอวดเบ่ง ราวกับจะให้อภัยต่อบุรุษเพศเช่นว่าเขาน่าสมเพชสลดสังเวชเพียงใด สมเพชเสียจนความอึงอลจากผู้คนในร้านแบ่งครึ่งเสี้ยวของรสขื่นหวานตกแก่ความเงียบอันเวทนานี้ให้เป็นรางวัล เมื่อไร้ซุ้มเสียงจากบทสนทนาใดใดสบทอต่อใบหน้าเยือกเย็นของเขา
ปีศาจ คือ กายเดียดฉันท์ครั้นทอนอารุณ
คือสิ่งกระทำในความเว้าวอนถดหอน
คือเงามัวแฝงลักษณ์ใต้ล่างภาชนะ
คือเดียงสาผ่าพาดความสูงนัยน์โต
คือความริษยาท่ามกลางรอยผุดบาง
คือวรณ์ถวิลแกว่งไกลในอารมณ์
คือกามราคะสู่ผู้ไม่อาจครอบครอง
คือระลึกย้อนปีกบางทู่ล้าอดีตกาล
แท้ซึ่งสรวงสวรรค์ริบให้เป็นคม
คือชั่วบัดนี้ทั้งตัวมึงหรือตัวกู
คือกานต์รอคอยครั้นตายจาก
คือชั่วขณะ คะนึง นิลละ
ก่อนนิศากาล พวก ‘มัน’ จึงออกอาละวาด
เวหาศจะแยกฝั่งทิ้งคืบหว่างประทุษห่างตรม
ทั่วแผ่นครืนรุนลื่นอาภรณ์เข้ม ลอยเคลื่อนเลื่อนปัชชุนแผ่ขุมเทา
กลีบพรรณตูมเกสรเฝ้าคอยอาศิราคล้อย อย่าได้หวั่นนักแล
เช่นนี้ ณ ห้วงทมิฬ เราจึงหลับฝัน เมื่อมันลืมตื่น
end.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in