เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Middle | Townwallflowerblu
causality
  •  

    TW: Ableism (การดูถูกเหยียดหยาม หรือมีอคติต่อผู้พิการ), Anxiety (ความวิตกกังวล), Classism (การเหยียดชนชั้น), Occult (ลัทธิบูชา/ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับ/ไม่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนา), Dehumanization (การลดค่าความเป็นมนุษย์), Forced Marriage (ถูกบังคับให้ต้องแต่งงาน), Conflict/War (ความขัดแย้ง/สงคราม), Extremism (อุดมการณ์สุดโต่ง) 

     


     

    เกิด | ก่อน

     

    ห้ำหั่นเกิดขึ้นสามกรณี ดังเช่นผืนฟ้าแพรกห่างพวงหญ้าแหวกไหวขึ้นสบสะท้อนนัยน์ฤกษ์ ดังเช่นผิวใยแขนงผลิยอดอ่อนเยื้องลำพลิ้วโพล่เกราะหุ้มหนามตามอรุณเถาใต้ภพแดงก่ำ ดังเช่นสายธารจรดแอ่งทั่วสารทิศเข้าหาเนินตีนของฐานภูห่มบรมสุขด้วยแสงชอุ่มเคล้าหยาดใสอันทอดแยงจากอุ้งขนของสัตว์น้อยยื่นงวงถนอมกลีบบานสยาย หากมิห้ำด้วยรักก็หั่นด้วยแค้น พิสดารเหลือทน

    เขาเพรียกหทัยพร่ำถึงดาวพราวจรัสใต้ชุดคลุมนั้นว่า ‘เธอรีน’

    เหตุต้องวุฒิภาวะปกเรี่ย และภาวะปกครองสูงส่ง ผลักไสมวลษยชาติแด่ขุมติกรรม

    เสียงอันแตกพร่าพอประมาณกับหัวใจอันระเหผวน นำสู่ผลสงบชั่งมาตรฐานแห่งตอพรวนภาวนา ครรภ์จากอายัติของหญิงใบ้พลันม้วยขอดเมล็ดพันธุ์ร่วงตกเหนือชานพักเพราะทอนเว้นขั้นตอนซึ่งขจัดพ้นพร้อมข้อพันธะอันผลัดหล่นซึ่งตัวเป็นตัว เหลือเพียงตาเป็นตนคอยเตือนสัมปชัญญะ ‘ดูแลเขา พี่-จะ-ไม่-ถือสาหากต้องยกอันดรไปสู่สาธิตศราชษ์ ฝันพี่ทิ้ง พ้องพี่จาก ดวงแก้วพี่สัญญา คง-อย่าได้ฝันถึงพี่ จุลหมายถึงมือ พี่คงจากไกล’

    ประสบตระกำผัสสะบนเนินบ่าคล้ายเผือดสี

    ฝ่ามือของพลผู้นำกระเทินชิดเกือบผินปลายคาง กรอบแคบครวญนิ่งพลันเงยหลีกคราวรู้ตัว สั่นไหวติงเท้าออกจากขอบตะปูเกยเนื้อไม้สีเข้มเจาะใต้บานพับที่คงมิขนัดพอ สนิมเปลือกเปราะเบียดเสียดความปูดคมในอดีตจึงโผล่หัวขึ้นอีกคืบชวนกระวนใจพาลต้องพึ่งค้อนมางัดสิ่งระแวงแฝงอันตราย หลังแรงหนักหอบปลายด้ามนอกขบวนผละจากบริเวณรั้ว มันยังคล้องคราบเหวอะแน่นเหนียวกระเทือนเงาร้างลามไล้มาถึงเรือนคร่ำครึอีกทอด

    หากทุกสิ่งสงบงัน มันจะงันเสียยิ่งกว่าพงไพรรกล้อมหมู่เรือนอนธการ นกกาเหมือนไร้ปีก อาการครั่นเนื้อคันตัวก็หาได้สะเทือนรอยเกา เสียงหวดน้ำล้างตัวจากเรือนใกล้คงมิสนั่นพอให้รับรู้ เหลือทิ้งเพียงสายเอื่อยเลื่อมจากธารเยื้องบาทวิถียามเลื้อยมวลเหลวเข้ากรายหัวนิ้วคราวแกว่งภาชนะกลับเข้าโถงครัว อกสั่นขวัญระเทิน รอยแพรกแหกเสาของเขายังเคยมี รอยจามสันก่อฟันถมไอร้อนให้ล้างไคลยังอุ่นอวล รอยข่วนครั้นหลับหนีวิมานกลางอากาศในกาลก่อนเท้าบานหนาของเขาเพิ่งกลับมาเยือนตรู่เช้ายังเฝือให้เหลือบอยู่

    เสียงของไห้เปียกดินเป็นตุ่มแดง เสียงใต้ช่องลมสะอึกสลาย เสียงก้มมองฝีเท้าสับกระหน่ำ เธอมิเคยรับฟัง แม้จะรับอย่างไรก็มิมีวันยินน้อมเข้ารูหู – เราเหมือน ๆ กันมาแต่เกิด ตั้งแต่แรกพบ ตั้งแต่บรรพบุรุษยังมิเคยเต้นรำ สองเท้ายังมิเคยออกวิ่ง ดวงตายังมิเคยผินเล็งเพลิง มิทันลี้ทันไร ชีวิตคู่ของเราก็ได้เต้นรำบำเรอกลางดงอัคคีเปลวใหญ่ มันคงหาได้มีไว้ให้เราอาบชโลมอย่างสำราญเริงรื่น มันคงอาจมี— หากแพทย์ภัยยังหาได้ตราหน้าของหลุมชนว่าอันตรายมักตกทอดแก่เลือดเนื้อของคนมิภักดี ใฝ่ดู หาได้ทอดทิ้ง ความรักของคนหนุ่มสาวจึงควรเผชิญยิ่งแก่กาลดิ้นรนภายใต้กิริยานบน้อม พึงบูดบึ้ง และจมต่ำเข้าไว้

    ศาสนพิธีเน้นเส้นจารีตไว้ตามเผ่าบอดใบ้ พวกเขาเชื่อว่าความดำมืดและสงบเงียบเป็นเครื่องมือของรูปลักษณ์สามานย์ไร้เพลิงนำพา พวกเขามักถวายกายแก่อะไรก็ตามที่มองเห็นและชี้ชัดได้ว่ามันดำดิ่งพอจะบริสุทธิ์เหมือนดินแดง แดงเหมือนโลหะกร่อนเลือน เลือนเหมือนเถ้ากระดูกใต้โครงกลางเพลิง อาจเป็นเขา— เที่ยงธรรมแม่นเหมาะ เขาที่สมควรมอบวิญญาณแก่แกนโลก ณ ปริภูมิซึ่งเคลื่อนเวียนเป็นเกลียวยืด ประหนึ่งส้นเท้าของลูกผู้กระเสือกกายอันหดเล็กดิ้นพล่านใต้เปลือกเนื้อในเวลานี้

    จิตทั้งสองครั้นวิกาลนั้นคงหลงลืมความเปลี่ยวดายเป็นอาจิณเพียบเคียงทรวงร่วงระส่ำเหมือนสับตีนแตกลงเนินแดง แต่มิเป็นเช่นนั้น ตรงหน้าคือลานกว้าง กว้างพอจะเห็นเนื้อนากันและกัน กว้างพอจะสบนัยน์ฉานของใครบางคนซึ่งเปล่งอ้างใบหน้าพร่องเงาปทุมใต้กลีบไม้ซ่อน กระจ่างรำไรอวดกลุ่มมดงานผู้ขยายขวัญหวั่นร่างกำยำสองริมฝั่ง เธอรีนในวัยเยาว์ถดกายเขยื้อนอย่างวัยแย้มจะขบเม้มรสหวานลื่นของฤดูผึ้งคลอดรังรัก สีของดินแดงย้อมเงาชั้นงานขยันขันแข็งแต่จะเจียระไนเครื่องหินแร่สำหรับส่งมอบกรมพาณิชย์จวนอรุณรุ่งอย่างที่กายเมื่อยไคลท่วมกล้ามปวดคงมิเคยหยุดพักให้เป็นเพียงโขดหินสูง ผ่านความรู้สึก ณ ขณะนั้น ราวเข็มลูกตุ้มของกาลทุก ๆ นาทีหยุดถ่ายทอดทุกสิ่งคืบหน้า เว้นเพียงเสียงใจ

    วงแขนกรำแดดบ่ายเคี่ยวกวาดของเก่าอยู่หน้าชานพักนายรับจ้าง แมกไม้กอหญ้าสูงท่วมพะเนิน หมกทัศนวิสัยทิศใต้ฐานเรือน ไหล่กะเท่เร่จวนต้องพักตรอมอาการกระตุกต่อมล้าเฉกเดียวกับข้อเท้าพลันแสบร้อนมาถึงไขเข่าให้อาดูร ขณะพักเหงื่อไคลออกจากผิวกายตามสายไกวเคลื่อนรวนทอเกี่ยวสุมจั่วหน้าลาดต่ำ ท่ามกลางไม้ประดับเยื้องสถานพำนักน้อยใหญ่ หากมีผู้พิสูจน์ได้ว่ากาฬะบนเนื้อเน่าของมนุษย์จะมิเคยพักผ่อน เธอทราบดีแล้ว มันคงจริงเชียวยิ่งเฉพาะโจรลากเลือดแห่งฤดูหนาวเริ่มสิงสู่ถาวร ทว่า สิ่งที่ทุกผู้ชนต่างถวายสัตย์ต่อขุนมูลนางคราวถูกสอบปากถามว่ากาลจริงแท้ ยามเคลื่อนไปข้างหน้าเคยหยุดยั้งจากอันใดหรือไม่ เขาเหล่านั้นจะมิเคยปริเล่า ปริตอบ หรือปริแย้ง ทำเพียงพยักเพยิดและปล่อยให้ช่างซ่อมหนังบูทเป็นคนรับวจีปรามาส เพราะจุดนั้นคือปลายท้ายหัวตรอกที่เหล่าราชบุตรมักสั่งให้ขุนมูลนางนำพาสารถีเชี่ยวถีบตีนเกลื้อนเพื่อโดยสารไปเยือนบางโอกาส

    เธอรู้สึกได้ว่ามันช่างเป็นถ้อยพร่องรักอย่างผู้ขลาดสิ้นสติยิ่งนัก โดยเฉพาะสายโชนโชกสาดระแนงกับผนังคอนกรีตอีกกระมัง

    โคลนตมในรอยย่ำมักถ่มรดเรือนอาภัพคู่ เสมอเหมือนน้ำลายข่มเหย้าเยาะฝักขบถ

    คบไฟศักดิ์สิทธิ์เปลวแล้วเปลวเล่าจะเป็นฝ่ายแทนทดเวทนา พรากห่างเจ้าของใบหน้าปลอดปนรอยเรื่อจางรางอย่างกลีบกุหลาบแดงอ่อน พวกเขาพึงมีวันคู่สลับเผื่อการปาฐกถาของพรตพระแม่และวันคี่จะเป็นของน้ำมือผู้ชุบชูถวายแด่พระอศวะ เทียบดั่งตัวแทนของเรื้อนโทรมเศร้าเหนือมวลปัญจะเดียงสาคอยอาราธนาสิงสาราสัตว์

    สัตว์ ในที่นี้คือ สัตว์เล็กจ้อย-และ-อวบอ้วน หมายถึง บ่าวร่วมด้วย จำแนกแบ่งได้นอกบทบาทตามห้วงมติเอกฉันท์ผ่านหน้าที่ตามสรณะอันพึงกระทำ หากมิค้อมขัดศรัทธา และมักงอกตอรดที่สูงอยู่เสมอ

    เราโชคดี เธอมิได้ยิน เธอรีนจึงถูกส่งตัวร่ำเรียนในศาสนสถาน ส่วนเขา— จะถูกส่งออกไปยังเรือนไกลเพื่อป้องกันท่านเคานต์ในคราบทรราชพิทักษ์เกาะ คอยปัดแกว่งวงแขนประคองกิ่งดาบด่างออกเป็นยวงแข็ง เมื่อต้องหั่นศัตรูบากหน้าใกล้แหล่งพำนักอย่างมิเจียมสังขาร อาวุธในมือของเขามันคงวาวโรจน์ ราวประกายผิวทะเลกระเพื่อมครั้นนางนวลแฮร์ริ่งโฉบปีกเกลื่อนริมหาด

    สูญหรือรอดขึ้นอยู่กับว่าเราจะขยันร่ำหรือเพียรเพียงใด

    เขาสื่อสารตอบรับผ่านฉบับท้วมท้นใบนั้น

    ตระกูลใบ้บื้อทำให้เรายังมีชีวิตอยู่

    อยู่อย่างโดดเดี่ยวร่วมกัน

    แม้จะถูกยกย่องให้เป็นเครื่องมือของพิธีกรรม ของสัญญะ ของวลีใต้อักษรเลื้อยราก

    รากฐานของพวกเขาช่ำชี้ทางว่าควรออกมาจากน้ำมือของหญิงใบ้เท่านั้น เมืองนอกอรัญญิกคงจดจำเธอรีนในบริบทนี้ไปเสีย

    เคยรักหรือไม่ เธอรีนไม่ตอบคำถามซ้ำสอง

    คงเพราะเขามิเคยตอบคำถามผ่านสัญญาณใจในอากาศหว่างกว้างของนิ้วมือและฝ่าหัวนิ้วโป้งเคลื่อนถลำนอกกายตลอดเวลา แม้จะผ่านมาแสนเนิ่นตราบเท่าที่จะพอปรารถนาและระลึกถึงวันวานได้ เมื่อพินิจเจตนาทราบพบว่าฉบับต่างถิ่นอีกใบยังเป็นเหมือนของเธอทุกระเบียบนิ้ว ไม่ต่างอะไร – ไม่ต่าง – ไม่อะไร – ไม่ แม้แต่น้อย

    เขาคงรัก

    รักเพียงหญิงผู้เป็นพี่สาวของเธอมาตลอด อย่างที่คนหนุ่มจะเคยหยุดพักหายใจเพื่อตอแยความปรารถนาคราวต้องถวิลกินตามอัตภาพหมายปอง ทว่า เขาก็จำต้องกระอ่วนใจมาตกหลุมร้างรักแววสร้อยหม่นคู่นี้ เพียงเพราะต้นตระกูลของเราด่วนฝังถ้อยปรามคราปรึกษากันว่าลูกคนโตนั้นเหมาะยิ่งกับน้องสุดท้องอย่างเธอ เสียต้องซุกหน้า-ชนใจ-เปลื้องเหลี่ยมปบเร้น คว้าคู่ครองแบ่งเรือนหลักลงมาจมจ่อร่วมกัน

    เช่นเดียวกับที่เธอรีนได้รับมันจากมือละมุนละม่อมของพี่ คราวหญิงห่มนุ่งผ้าสีสุกงอมตะบี้ตะบันหมายสั้นแก่การรับฟังด้วยกายหยาบว่าเขาคงถูกหนุนนำให้ ‘ต้อง’ เป็นแบบนั้น และเพราะ ‘เป็น’ เช่นนั้นจึงมลายสิ้น

    ความนิ่งใบ้คงกำชับความรู้สึกของเธอไว้เพียงลำพัง ตกทอด เหมือนลูกของเรา

    ทรงจำต่อผัวใบ้รีบเคี่ยวกรำเชื้อเพลิงให้พรวดอร่ามสุมเรือนพัก หุงหาอาหารรอน้ำอุ่นอวล กองดวงไม่ระสีข้างใต้หัวข้องเคืองตามประสาของเราจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับความซ้ำร้ายได้เพพัดผ่านไป เหมือนอย่างเช่นคนนอกที่กรายเล่าปากต่อปาก หืนกลิ่นผิวคราหน้าเข้ามาและทอดฝีเท้าเยื้องจากไป พวกเขาคงไม่มีวันล่วงรู้ ว่าแม้แต่หล่อนหรือเขา หรือใครระหว่างเราที่อาจจะเคยคุ้นอาการสุขใจเพียงใดก็ยังมิเคยเปล่งภาษากายให้ใครยินพ้อง ‘เรื่องของใจ’ ได้สักผู้เดียว

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in