การย้ายถิ่นฐานชั่วคราวเข้ามาในเมืองหลวงน่าจะเป็นชะตากรรมที่ยากที่จะหลีกเลี่ยงในฐานะคนต่างจังหวัดไม่ช่วงเวลาใดก็ช่วงเวลาหนึ่ง โอกาสต่อยอดในการเรียน โอกาสในการทำงานหรือบางทีก็จำเป็นที่จะต้องมาอยู่เพื่อปากท้องของตัวเองโดยบางคนไม่มีเเม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะเลือกด้วยซ้ำ
‘อยากไปเรียนกรุงเทพว่ะ’ เป็นหนึ่งบทสนทนายอดฮิตท่ามกลางเราเเละกลุ่มเพื่อนในวัย 15 ปี วัยหัวเลี้ยวต่อช่วงเวลาที่สามารถเริ่มที่จะเลือกได้แล้วว่า ‘แม่ง เอาไงต่อกับชีวิตดีวะ’
ฉันในวัย 15 ปีก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ตัดสินใจย้ายถิ่นฐานชั่วคราวมาเรียนในกรุงเทพโดยปราศจากญาติหรือคนรู้จักด้วยความคาดหวังที่ว่า ‘น่าจะเป็นโอกาสดีๆในชีวิตเเน่ๆเลย’ เเละพอเข้ามาเรียนจริงๆก็ได้พบว่า ไม่ใช่มีเพียงเเค่เราที่มองว่าการเรียนในเมืองหลวงจะเป็นใบเบิกทางให้กับชีวิต มีคนในวัยเดียวกันที่เผชิญเรื่องราวเดียวกับเรา ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้คนเหล่านั้นทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้น
‘เพรช’ เพื่อนสาวจากเมืองที่เต็มไปด้วยมังคุดเสียบไม้ที่เค้าลือกันว่ายุคสมัยนี้หายากเเล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เผชิญกับเหตุการณ์การจากลาบ้านเกิดมาเหมือนกันกับเรา ถ้าย้อนความกลับไปเมื่อ 3 ปีที่เเล้วบทสนทนาที่ว่า ‘เเก อยู่หอเเถวไหนหรอ’ ก็น่าจะถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อยพอๆกับ การเเนะนำชื่อตัวเองกับเพื่อนใหม่
เรากับเพรชมักจะมีบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องเล่าเคล้าน้ำตาของการปรับตัวในเมืองหลวง ความคิดถึงอาหารรสมือที่ควรจะเป็น เรื่องเล่าวัฒนธรรมวิถีชีวิตประจำจังหวัด กันบ่อยครั้งที่พอหยิบมาคุยตอนนี้ก็ได้เเต่ถอนหายใจ ‘ทำไมชีวิตมัธยมปลายในกรุงเทพไม่เห็นมีพี่ต้าเเบบขนมปังในฮอร์โมนบ้างเลยวะ’ ‘ชีวิตมอปลาย สุดเเสนจะจืดชืด’ จนบางทีก็อยากจะไปวีนผู้กำกับฮอร์โมนที่ขายฝันชีวิตมัธยมปลายครั้งเดียวที่เเสนสนุก โรเเมนติกเเละเต็มไปด้วยเรื่องราวให้เราตั้งความหวัง เเละอยากจะเชิญชวนคนผลิตสื่อท่านใดสนใจที่จะทำ documentary ตีเเผ่ชีวิตมอปลายที่เเสนจืดชืดของเรา อย่างน้อยจะได้มีคนรู้ว่าไม่ใช่เราคนเดียวสินะ ที่ชีวิตจืดชืดขนาดนี้ (หัวเราะ)
เลยอยากจะชวน เพรช หญิงสาวภาคใต้ที่รักก๋วยเตี๋ยวต้มยำเป็นชีวิตจิตใจ มาพูดคุยกับ เราหญิงสาวชาวอีสานผู้หลงใหลในก้อยเนื้อคั่วพอๆกับความรักที่มีให้พ่อเเม่ เเละยังรับบทในวันนี้เป็นทั้งผู้ดำเนินการพูดคุย-content writer-เเขกรับเชิญ-ผู้จัดหน้าเเละตรวจคำผิด ในเวลาเดียวกัน
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจมาเรียนมอปลายในกทม
อย่างเเรกเลยคือตอนนั้นโรงเรียนเรายังไม่ให้ไว้ผมยาว เราอยากหลุดออกจากระบบนี้ เเต่เหตุผลหลักๆที่ก็ใช้บอกครอบครัวด้วยคือโรงเรียนที่เรียนตอนมัธยมต้นในมอปลายไม่เน้นเเผนการเรียนสายภาษาเท่าไหร่จะเน้นไปที่วิทย์-คณิตมากกว่า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ถนัด เลยตัดสินใจเลือกมาเรียนที่กทม.น่าจะดีกว่าอีกอย่างเพื่อนรอบตัวเราส่วนใหญ่ก็มีเเผนที่จะเรียนต่อมอปลายกันในกทม.อยู่เเล้วเลยรู้สึกว่าโอเคถ้าเพื่อนมาเราก็มาตามเพื่อนก็ได้
ความคาดหวังในกรุงเทพเป็นยังไง
ภาพฝันเเรกในกรุงเทพก็คือ ทุกอย่างต้องสบายเเน่ๆเลย ทุกอย่างมันดูสะดวกสบายกว่าจังหวัดบ้านเกิดเราทั้งในเเง่ของขนส่ง การใช้ชีวิต เมื่อก่อนเวลาที่ต้องออกไปไหนต้องรอให้พ่อเเม่ว่างเเล้วขับรถไปส่ง เเต่พอมาอยู่ที่นี่ก็สามารถเดินทางไปไหนได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหรือรอใคร
‘คงจะต้องมีอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้นเเน่ๆเลย'
เเล้วตอนนี้ล่ะ?
เป็นเมืองที่สะดวกเเต่ไม่สบาย โอเค ขนส่งมันเดินทางง่ายอยากไปไหนก็ไปได้เเต่สภาพเมืองมันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอยากออกไปด้านนอก เพราะมันกินพลังงานเยอะจริงๆ ทั้งในเรื่องของทางเท้าเเล้วก็โอกาสเกิดขึ้นน้อยมากที่จุดหมายเราในเเต่ละวันสามารถเดินทางถึงได้ด้วยขนส่งชนิดเดียว
เเล้วอยู่กรุงเทพคนเดียวเหงาไหม
เหงา เหงามาก ช่วงที่มาเเรกๆคือร้องไห้คิดถึงเเม่ทุกวันจนเเม่บอกว่าลงมาหาไหม เราบอกเเม่ว่าอยากกลับบ้านทุกวันอาจเพราะเจอสภาพความเป็นจริง ความกดดันจากการเรียนด้วย
อะไรคือสิ่งที่ยากในการตัดสินใจมาเรียนที่กรุงเทพคนเดียว
สำหรับเรา ไม่ได้รู้สึกว่ามันยากขนาดนั้นในการมาเรียนไกลบ้านคนเดียวเพราะเคยทำอะไรเเบบนี้มาก่อนเเล้ว ตอนมอต้นเราก็ไม่ได้อยู่กับที่บ้านเพราะว่าโรงเรียนที่เรียนค่อนข้างไกลจากที่บ้านเลยจำเป็นต้องออกมาอยู่หอ อีกอย่างตอนนั้นเรารู็สึกว่าเราอยากหลุดพ้นจากสภาพเเวดล้อมในตอนนั้นด้วยเพราะโรงเรียนเก่าเราการเเข่งขันหนักมากจนมันทำให้รู้สึกว่าไม่อยากอยู่ในระบบที่ทำให้เรากดดันมากขนาดนี้ ณ จุดนั้นเลยไม่มีความกลัวที่จะต้องห่างบ้านไปใช้ชีวิตคนเดียวในวัยเท่านี้ ความรู้สึกเดียวในตอนนั้นคือต้องออกจากที่เเห่งนี้ให้ได้
ทุกที่มันมีวัฒนธรรม/รูปเเบบการใช้ชีวิตของคนในพื้นที่เป็นของตัวเองอะไรคือสิ่งที่เป็น culture shock ในการมาใช้ชีวิตในกทม.ของเรา
ไม่รู้นับว่าเป็น culture shock ได้ไหม เราว่าอยู่จังหวะเรารถไม่เยอะเท่านี้นะ ถึงชื่อเสียงเรื่องรถติดของกรุงเทพจะโด่งดังพอตัว เเต่การได้มาอยู่จริงๆมันก็เกินความคาดหมายเราไปมาก ไม่เคยต้องใช้ชีวิตบนรถกับการรถติดนานขนาดนี้ (หัวเราะ)
‘ใช่ คิดเหมือนกันอีกอย่างที่รู้สึกช็อคมากของการมากรุงเทพเเรกๆเลยคือ คนที่นี่เริ่มใช้ชีวิตกันไวมากยังจำได้เลยตอนที่อาจารย์ในโรงเรียนบอกว่าถ้าอยากจะเดินตลาดให้มาตั้งเเต่ตีห้าหกโมงตอนนั้นตกใจมาก ในขณะที่โรงเรียนเก่าเราเจ็ดโมงโรงเรียนยังเงียบอยู่เลยเเต่ตัดภาพมาที่นี่หกโมงครึ่งโรงเรียนก็ครึกครื้นเต็มไปด้วยนักเรียนเเล้ว การตื่นตีห้าในทุกๆวันดูเป็นเรื่องปกติ’
กรุงเทพเป็นเมืองที่มีคนจากหลากหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ multicultural มากๆเเต่บางทีก็รู็สึกว่าเป็นวิถีคนเมือง พอมาอยู่นานๆเเล้วมองกลับไปถึงวัฒนธรรมบ้านเรามีความรู้สึกอะไรเปลี่ยนไปบ้านไหม?
‘อย่างเรา เรารู้สึกห่วงเเหนเเล้วก็ appreciate กับวัฒนธรรมบ้านเกิดตัวเองมากขึ้น เมื่อก่อนจะรู้สึกว่าทำไมไม่เกิดเป็นคนกรุงเทพ สะดวกสบายจะตาย ห้างก็เยอะ คงไม่ต้องห่างจากที่บ้านด้วย เเต่พอโตขึ้นมาไม่รู้ว่าเพราะได้มาอยู่เองหรือเพราะโตมาเราก็สนใจเรื่องวัฒนธรรมมากขึ้น เเต่ก็รู้สึกภูมิใจกับวิถีชีวิตวัฒนธรรมบ้านเกิดมากขึ้น’
เราว่าเราก็เป็นนะ เหมือนพอมาอยู่ที่นี่เเล้วก็จะโดนคนถามว่ามาจากจังหวัดอะไร พอบอกว่าเป็นคนใต้เค้าก็จะพูดถึงจังหวัดเราหรือภาคเราในมุมมองที่เค้าได้รับสารนั้นมาซึ่งเราไม่รู้ว่าเค้าไม่รู้จริงๆหรือมันคือมุมมองของเค้าเอง เเต่มันก็ทำให้เราอดที่จะรู้สึกนิดนึง จนมันทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าคนที่นี่เค้าไม่สนใจภาคอื่นเลยหรอ หรือว่ายึดตัวเองเป็นศูนย์กลางขนาดนั้นเลยหรอ
ความรู้สึกนิดนึงนี่คือความรู้สึกอะไร ไม่พอใจ เสียใจ หงุดหงิด ?
ใช่ หงุดหงิด(หัวเราะ)
ข้อดี 1 อย่างของกรุงเทพ
ความเปิดกว้างของสังคมเรื่องของการเเต่งตัวถ้าเทียบกับบ้านเรา เราว่าที่นี่เปิดกว้างกว่าเค้าดูไม่ได้สนใจว่าใครจะเเต่งตัวยังไง อาจจะเป็น เพราะเเถวบ้านเราอยู่กันเป็นครอบครัว (หัวเราะ) พอทำอะไรเเต่งตัวเเบบไหนก็เลยมีคนสนใจเราทุกอิริยาบถ
ข้อเสีย 1 อย่างของกรุงเทพ
การที่ได้มาอยู่นั่นเเหละคือข้อเสีย เราจะไม่มีทางรับรู้ถึงข้อเสียของเมืองนี้ได้จนกว่าจะมาอยู่เอง สำหรับเราบางอย่างมันเเย่เกินกว่าจะจินตนาการถึงได้หรือบางอย่างไม่คิดว่าจะเป็นข้อเสียเเต่มันก็กลับเป็นข้อเสียได้ เช่น ก่อนหน้านี้เราพูดถึงว่าเราชอบที่การอยู่ที่นี่มันให้อิสระเราได้การเดินทางไปไหนเเต่ในขณะเดียวกัน อิสิ่งนี้นี่เเหละที่ก็ทำให้เราไม่อยากออกไปด้านนอก มันสะดวกเเต่ก็สะดวกไม่สุดถึงจะเดินทางถึงจุดหมายจริงๆเเต่ก็ไม่ใช่ว่าขนส่งชนิดเดียวเเล้วจะถึงเลย ก่อนมาเราวาดฝันไว้สวยหรู ว่ามันต้องดีเเน่เลยได้ใช้ชีวิตอย่างสวยหรู เหมือน youtuber กินข้าวที่เอมควอเทียร์ ช้อปปิ้งที่เอมบาสซี่ เเต่พอมาอยู่จริงๆทำให้รู้ว่าถ้าไม่รวยจะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในเมืองนี้ได้
หลังจากมาอยู่กทม.ได้สักพักเเล้วอะไรที่รู้สึกว่าเราโดนความเป็นกทมหล่อหลอมจนเราเกิดความเคยชินโดยที่ไม่รู้ตัว
คิดว่าน่าจะติดความสะดวกสบายโดยไม่รู้ตัว บ้านเราอยู่หลังเขา เวลาที่เราอยากจะเข้าตัวเมืองรถสาธารณะเดียวที่สามารถเข้าเมืองได้ในจังหวัดเราคือ รถสองเเถว ซึ่งมันเป็นอะไรที่เหนื่อยมาก อารมณ์เหมือนนั่งวินมอไซค์ผมจะยุ่งมาก เเล้วคนจะเยอะมากด้วยในหนึ่งวันรถจะวิ่งเข้าในเมือง 1 ครั้งมันจะได้คุ้มกับค่าน้ำมันรถ พอตอนนี้ถ้าจะต้องเข้าเมืองไปหาเพื่อนก็เลือกที่จะรอให้พ่อไปส่งมากกว่าหรือถ้าพ่อไม่ว่างก็เลือกที่จะไม่ไปมากกว่าเพราะรู้สึกว่ามันลำบากทั้งที่เมื่อก่อนตัวเองก็ทำมันได้โดยไม่รู้สึกอะไร
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะยังเลือกที่จะมาเรียนกรุงเทพเหมือนเดิมไหม?
ก็คงเลือกมาเหมือนเดิมเราว่าความสัมพันธ์ของเรากับกรุงเทพเหมือนเป็น love-hate relationship มันทำให้เราโตขึ้นในทุกๆเเง่
‘กทม.มันเป็นตัวเลือกที่เจริญสุดเเล้วในประเทศไทย’
ถ้าให้เปรียบเทียบชีวิตตัวเองในกรุงเทพเป็นอาหาร 1 จานคิดว่าเป็นเมนูไหน
คิดว่าเป็นข้าวมันไก่ ข้าวมันไก่มันหน้าตาจืดชืด ชีวิตเราน่าจะเป็นข้าวมันกับไก่ต้ม สำหรับเราข้าวมันไก่มันกินอย่างเดียวมันไม่อร่อย มันต้องกินกับน้ำจิ้ม ไม่มีน้ำซุปก็ไม่อร่อย เราคิดว่าเพื่อนคือซีอิ๋วดำ สถานที่โปรดการเดินเล่นในกทมก็คงเป็นน้ำซุป ชีวิตในกรุงเทพของเรามันสามารถดำเนินไปได้ด้วยสองสิ่งนี้ คิดว่าถ้าไม่ได้มาเจอเพื่อน ไม่ได้มาเจอสภาพสังคนที่อยู่ตอนนี้รายล้อมไปด้วยคนเเบบนี้ก็คงสู้ไม่ไหวเหมือนกัน
เมืองหลวงในอุดมคติเป็นยังไง ?
เมืองหลวงในอุดมคติของเราคือเป็นอะไรที่ศิวิไลซ์ เจริญ มีตึกสูงๆ ทุกคนทำงาน มีการจัดการกับปัญหาคนจรได้ดีกว่านี้ ทั้งที่มันเป็นเมืองหลวง เเต่รู้สึกว่าเราเจอปริมาณคนจรเยอะกว่าในจังหวัดเราที่อยู่มาทั้งชีวิต เรามองว่ากรุงเทพเปนเมืองหลวงที่คนจะมาเที่ยวเพื่อมาช็อปปิ้ง มาหาความเจริญ อันนั้นคือในอุดมคติพอมาอยู่จริงๆแล้ว เราถึงรู้ว่าความเจริญต่างๆในอุดมคตินั้นนั้นเป็นแค่สิ่งที่เราขาดไป มันคือความเจริญ ความเข้าถึงเทคโนโลยีที่เราไม่ได้รับ เราจึงมองความเป็นเมืองหลวงว่าต้องเป็นแบบนี้เเบบนั้นเพราะว่าที่เราอยู่มันไม่มี
มีความคิดอะไรก่อนมาอยู่กทมเป็นอีกอย่างพอมาอยู่เเล้วเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือไหม?
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจังหวัดตัวเองด้อยพัฒนาขนาดนี้ เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าจังหวัดตัวเองเจริญเเล้ว มีห้าง เเต่พอมาอยู่นี่ทำให้รู้ว่า ‘โห เค้าไปไกลกว่าเรามากเลยว่ะ’ จนอดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่า เเล้วทำไมจังหวัดเราถึงไม่ได้อะไรเเบบนี้บ้าง
“เหมือนกันเรารู้สึกว่าพอมาอยู่ที่นี่เเล้วเราอึ้งเรื่องเทคโนโลยีมาก ไม่รู้เพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไปด้วยหรือเพราะเป็นที่ความเจริญมันกระจุกอยู่ที่นี่ที่เดียว เทคโนโลยีบางอย่างที่เรารู้สึกว่า โห มันเป็นไปไม่ได้หรอก เเต่ในกทมมันมีเเล้วมันถูกใช้โดยทั่วไป โมเดลธุรกิจบางอย่างที่มีขึ้นมาเเล้วอำนวยความสะดวกมากราคาก็ยังเป็นมิตร สามารถหาได้ทั่วไป สถานที่บางอย่างพื้นที่สาธารณะที่เปิดโอกาสให้คนมารังสรรค์งาน ยิ่งทำให้รู้สึกอึ้งว่า เออมันมีอะไรเเบบนี้ด้วยว่ะ ทั้งที่ตอนเราอยู่ต่างจังหวัด เราไม่คิดว่ามันจะมีอะไรเเบบนี้เเละไม่คิดว่ามันจะสามารถมีได้ด้วย”
อย่างไรก็ตามในฐานะเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งเราก็หวังว่าจังหวัดบ้านเกิดเของเราเเละจังหวัดอื่นๆ จะสามารถมีสิ่งที่อำนวยความสะดวกเเบบที่กรุงเทพมหานครมีได้บ้างโดยที่ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเข้ามาเพียงเเค่โอกาสในการทำงาน,การเรียน ที่ดีกว่าเพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทุกที่ควรได้รับมัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in