เสียงล้อรถไฟเสียดสีกับรางคลุ้งเคล้าไปด้วยเสียงเจี้ยวจ้าวจากพ่อค้าและของตกแต่ง วิบวับละลานตา คึกคัก สมกับเป็นบรรยากาศช่วงปีใหม่เสียจริง
โรงแรมเต็ม ตั๋วแพง คนเยอะ คือมุมมองของฉันที่มีต่อการท่องเที่ยวในเทศกาลวันหยุดหากมีคนรอบข้างเอ่ย ชวน ห้วงความคิดยังไม่ทันหมดไปทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นมา
“ ไปเที่ยวเชียงใหม่กันหลังปีใหม่”
“โอเค”
ฉันที่ตอบตกลงทันที ไม่ใช่เพราะอยากที่จะท่องเที่ยวโดยปราศจากการไตร่ตรองถึงราคาที่ต้องจ่ายในช่วงเทศกาลแต่เพราะการยุ่งจนหัวหมุนจนไม่มีเวลามาคิดคํานึง มีแค่ความปรารถนาที่อยากจะเอาตัวเองออกจากห้วงเวลา ของการทํางานหนักเท่านั้น นี่จึงเป็นที่มาของทริป เชียงใหม่ส่งท้ายปีเก่า ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนมกราที่ผ่านมา ทริปนี้พวกเราเลือกเดินทางด้วยรถไฟนอนขึ้นตรงถึงเชียงใหม่ ออกจากสถานีกลางอภิวัต์ตอน 4 ทุ่มและแลนดิ้งถึงเชียงใหม่ในตอนเที่ยง ต้องบอกก่อนว่าแท้จริงแล้วฉันนั้นมีความสนใจในรถไฟและมีความฝันที่อยากจะนั่งรถไฟนอนขึ้นเหนือมาเป็นเวลานาน การได้ปล่อยใจให้สายลมพัดความคิดในหัวของเราไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนับว่าเป็นกิจกรรมอันดับต้น ๆ ที่ฉันหวังจาก
การนั่งพาหนะชนิดนี้ แต่แล้วก็มีความรู้สึกที่พึ่งสัมผัสได้และโหยหามันอย่างมากที่สุด ณ ช่วงเวลานี้คือ การรับรู้ถึง ความรู้สึกของการมีชีวิต มันคืออะไรนะ? กลับกันฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้ทุกครั้งที่ได้นั่งรถไฟ ภาพวิถีชีวิตของชาวบ้านระนาบข้างทาง การทํามาหากินของคนรถไฟ(ที่หมายถึงกลุ่มคนที่ทําหน้าที่อยู่บนรถไฟ) สิ่งเหล่านี้จึงเป็นที่มาของความรู้สึกที่ฉันสัมผัสโดยไม่สามารถบอกเหตุผลที่แท้จริงได้
ณ เวลาเที่ยงคืนพวกเราเดินจากโบกี้สุดท้ายของขบวนรถเพื่อมากินมื้อดึกที่ตู้เสบียง
รถไฟนอนที่พวกเราเลือกสัญจรในรอบนี้ไม่ใช่ขบวนด่วนพิเศษอุตราวิถีเบาะสีแดง รูปลักษณ์ทันสมัยแบบที่ใครๆคุ้นเคยกันแต่สเน่ห์ของรถไฟในรูปแบบนี้ก็คงจะเป็นตู้เสบียงที่เป็นแบบ open air ที่นั่ง
คลาสสิกคล้ายคลึงกับภาพฝันของฉันที่มีต่อรถไฟ วันที่เราเดินทางคือค่ํ่าคืนของวันที่ 2 มกรากล่าวได้ว่ากลิ่นอายของเทศกาลเฉลิมฉลองยังไม่หายไปเพราะตู้เสบียงยังถูกตกแต่งด้วย ป้ายสีทองแวววับพร้อมกับข้อความสวัสดีวันปีใหม่ และพ่อค้าแม่ค้าที่กล่าวอวยพรให้เราฟังอยู่เรื่อย ๆ นับว่าป็นมนต์เสน่ห์ของการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสินะ
พระอาทิตย์เริ่มสอดส่องมาในตู้นอนของพวกเราพร้อมบรรยากาศต้นไม้สีเขียวชะอุ่ม ภูเขาลูกใหญ่ ตามสองไหล่ทาง เช้านี้ฉันค้นพบมนต์สเน่ห์ของรถไฟอีกอย่างแล้ว คือการหลุดออกมาอยู่ในโลกที่เคลื่อนไหวไปเรื่อย ๆ โดยที่ เราไม่รู้ว่าเรากําลังอยู่ที่ไหน ราวกับสูญเสียความตระหนักรู้ อีกสามชั่วโมงจะเดินทางถึงจังหวัดเชียงใหม่ ทริปนี้พวกเรา มากัน 4 วัน 3 คืน จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้ฉันทํางานหัวหมุนจนแทบจะไม่รู้สึกถึงความตื่นเต้นอะไรที่ตนเองจะได้ไปเหยียบ ภาคเหนือในรอบเกือบ 6 ปีแต่ในค่ํ่าคืนที่พวกเราเดินทางเพื่อนของฉันได้มากระซิบข้างหูว่า จริงๆแล้วเขาตื่นเต้นกับทริปนี้มากและรอให้ถึงวันเดินทางสักที เอาล่ะความรู้ตื่นเต้นเริ่มทดแทนความรู้สึกที่นิ่งสนิทของฉันอันเป็นผลมาจากเช้าวันที่หนึ่งที่ต้องทํางานทั้งวันแล้ว
“ข้าวซอยนิมมาน” ในวันแรกพวกเราเลือกที่จะสํารวจความเป็นเชียงใหม่ให้มากที่สุด พวกเราเปิดทริปด้วยการกินอาหารที่ใครมาเยือนเชียงใหม่ก็คงต้องกิน จริงๆแล้วข้าวซอยนั้นแทบไม่อยู่ในความคิดของพวกเรา เราต่างก็รู้กันดีว่า ในสมาชิกที่มาไม่มีใครมักจีกับแกงที่เบสกระทิสักเท่าไหร่แต่การกินอาหารรองท้องก่อนจัดหนักมื้อใหญ่ในตอนเย็น และยังเปิดในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองก็คงหนีไม่พ้น Tourist Spot แห่งนี้
“นั่งแกร้ปวินเบลนอินด์กับวัยรุ่นเชียงใหม่” หลังจากมื้อรองของเราจบไปก็มีการเดินเล่นสํารวจนิมมานเล็กน้อย นับว่าเป็นถนนที่รายล้อมไปด้วยคาเฟ่และร้านอาหารพวกเราแวะกินไอติมร้าน Kintam (กินตาม) เป็นไอศครีอัดก้อน ที่เสิร์ฟมาพร้อมกันบิสกิตอบแห้ง ฉันเลือกกินไอศครีมแซนด์วิชรสชาติ
โยเกิร์ตผสมกับแยมขิงและกินคู่กับบิสกิตรสช็อกโกแลต แม้เพื่อนจะทําหน้าหยีกับคอมบิเนชั่นที่ต่างกันไปหมดแต่มันเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ หรือจริง ๆ กินตามคงมาจาก กินตามใจผู้บริโภคกันนะ
เสร็จจากการนั่งดื่มด่ํ่าพร้อมกล่าวอวยร้านไอศครีมขนาดเล็ก จุดหมายต่อไปของพวกเราก็คือการไปดู
พระอาทิตย์ตกกันที่อ่างแก้ว อ่างแก้วเป็นอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ในพื้นที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยเหตุผลของแลนสเคปที่เป็นที่ราบสูงจึงทําให้นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันแต่ในขณะเดียวกันก็มีคนพื้นที่ นิสิตนักศึกษา มาเดินเล่นและทํากิจกรรมในพื้นโล่งนี้กัน การได้นั่งสอดส่องคนทํากิจกรรมที่อ่างแก้ว ผ่านเลนส์ของผู้มาเยี่ยมเยือนนับว่าเป็นความรู้สึกของชีวิตที่ได้รับจากทริปนี้อีกครั้ง
เช้าวันที่สองเราเลือกที่จะปลุกจิตวิญญาณที่เหนื่อยล้าของตัวเองในเวลา 8 โมงเช้าเพื่อออกไปกินอาหารเช้า
ร้านดังในตัวเมืองเชียงใหม่ที่ใคร ๆ ไปต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าร้านนี้ควรค่าแก่การมา สําหรับคนอื่นฉันไม่รู้ว่า การไปท่องเที่ยวต่างเมืองเขาคาดหวังจะทําอะไรบ้างแต่สําหรับตัวฉันแล้วคงเป็นการตามหาอาหารเช้าดีๆ กินเพื่อเริ่มวันและดื่มกาแฟเมล็ดคั่วกลางช่วงสายเพื่อบูสต์เอเนอจี้สําหรับการเดินเตร็ดเตร่ตามย่านต่าง ๆ ในเมือง
The larder cafe and brunch ร้านมื้ออาหารเช้าควบสายใช้พื้นที่ทาวเฮาส์ขนาดหนึ่งคูหาแม้ร้านจะดูบ้าน ๆ ไม่มีอะไร แต่จํานวนผู้คนในร้านถ้าเติมพวกเราไปอีกหนึ่งโต๊ะ ร้านนี้ก็จะถูกเติมเต็มจนไม่มีที่ว่างให้ใครเพิ่มอีก ฉันเริ่มต้นสั่งมื้ออาหารสําหรับเช้านี้ ทันใดนั้นเองพวกเราต่างตกตะลึงในขนาดของอาหาร นี่มันใหญ่จนสามารถเพิ่มสมาชิกอีกคนได้เลย การกินอาหารของพวกเราในทริปนี้ล้วนแล้วแต่เป็นร้านที่เราดูรีวิวและมีความคาดหวังต่อมัน ฉันจึงขอสรุปได้ว่านี่เป็นร้านอาหารเช้าที่วัตถุดิบสดใหม่ ขนมปังนุ่มฟูกินคู่กับครีมชีสที่ถูกตีมาจนฟูไม่ต่างจากขนมปัง ฉันขอสัญญาว่านี่จะเป็นสถานที่ที่ฉันจะกลับมาอีกหากได้กลับมาเยือนเชียงใหม่ วันที่สองของทริป วันนี้เราเลือกที่จะขึ้นดอยเพื่อไปนอนบนที่พักของเพื่อนร่วมทริป ในวัยพวกเราที่ยังไม่สามารถให้ความมั่นคงทางการเงินให้แก่ตนเองได้ การไม่ต้องจ่ายค่าที่พักนับเป็นความโชคดีของการเดินทาง
1 ชั่วโมงจากตัวเมือง โค้งขึ้นเขา 10 รอบ และอาการพะอืดพะอมครั้งที่ 5
ในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึงยอดเขา ไร่ชาลุงเดช ภาพของไร่ช้าขั้นบันไดที่สุดลูกหูลูกตาและนึกตกใจอยู่ไม่น้อยที่เราขึ้นมาสูงขนาดนี้จากพื้นดิน มันคือความสงบที่ใฝ่หาและความสวยงามที่อดประทับใจไม่ได้สําหรับคนที่เคยมีอคติกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ทําขึ้นมาบนพื้นที่ธรรมชาติ ฉันมักจะรู้สึกว่าความสวยงามในสถานที่แบบนี้คือความงามเฉพาะจุดแต่จริง ๆ แล้วนั้นมันสวยแบบไม่น่าเชื่อและความสวยงามที่ส่งผ่านรูปภาพไม่สามารถเทียบกับภาพตรงหน้าได้เลยฝากดวงใจ พี่ลอยล่องไปบนนภา
สุดขอบฟ้า หัวใจพี่จะไปถึง...
พระอาทิตย์กําลังจะลับขอบฟ้า เสียงเพลงจากวงดนตรีอะคูสติกอินดี้ ที่ส่งเสียงลอดผ่านมาจากที่พัก
HomeStay ข้างๆเรา บรรยากาศรอบข้างที่เงียบสงบไปหมดทําฉันอดที่จะขบคิดถึงภาพบรรยากาศของเมืองใหญ่ที่แสนวุ่นวายไม่ได้ ถ้าเรามาอยู่ที่นี่จะชอบไหม? เราจะอยากเดินห้างไหม? จะรู้สึกยังไงที่ไม่สามารถสั่งแกร้ปในยามที่ิหิวเวลาดึกได้ ความคิดจิตนาการถึงภาพตัวเองที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ผุดขึ้นมาตลอดเวลาของการเดินทาง สภาวะเบิร์นเอ้าท์จากความเป็นเมืองใหญ่ การไล่ตามหาสูตรสําเร็จตลอดเวลาในช่วงชีวิตที่ผ่าน นํามาสู่การตั้งคําถามถึงชีวิต ฉันเริ่มเข้าใจถึงกระบวนการที่มาที่ไปของความรู้สึกถึงชีวิตและเข้าใจว่าทําไมผู้คนถึงออกเดินทางแม้จะเป็นช่วงเวลาเทศกาลที่
ค่าใช้จ่ายก็แพง คนก็เยอะ มันก็คงเป็นการให้รางวัลตัวเองที่ทํางานหนักมาตลอดกระมัง การออกเดินทางทําให้เราหลุดออกจากความเชื่อที่แม้เราจะไม่ยึดถือแต่ก็ต้องปฏิบัติตามในช่วงเวลาหนึ่ง ฉันเลือกที่จะจบทริปเชียงใหม่อย่างสมบูรณ์ ด้วยการแวะเวียนไปตลาดของตัวเมืองเชียงใหม่ครบทุกรูปแบบ กาดจริงใจ ตลาดเอาใจสายกรีนและรักสุขภาพมีงานฝีมือมากมายเรียงขาย นับว่าเป็นที่ถูกใจของนักท่องเที่ยว ตลาดวโรรส ตลาดอเนกประสงค์ที่เต็มไปด้วยของกินของใช้ มีตั้งแต่ร้านผ้ายันน้ําพริกหนุ่มเจ้าเด็ด แท้จริงแล้วเชียงใหม่ก็ไม่ได้ต่างจากอะไรจากเมืองหลวงมีทุกสิ่งอํานวยความสะดวกทุกอย่างเว้นแต่จังหวะชีวิตที่น่าจะปล่อยให้ตัวเราได้พักหายใจได้บ้าง
มีคนเคยกล่าวกับฉันว่าแต่ละพื้นที่มีรูปแบบที่มีความสุขไม่เหมือนกัน บ้างความสุขคือการใช้ชีวิต บ้างความสุขคือการไล่ตามความมั่นคงในหน้าที่การงาน บ้างก็อาจจะเป็นการร่ํารวยเงินทอง ฉันสงสัยถึงสิ่งนี้มาตลอดว่าสถานที่เชิงกายภาพจะมีผลต่อรูปแบบความเชื่อของเราได้ยังไง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจเจก
ในอีกไม่กี่ชั่วโมงที่ต้องบินกลับกรุงเทพเมืองที่ฉันเลือกจะใช้ชีวิตเพื่อจะไล่ตามความเชื่อของตัวเอง ทําให้ฉันเริ่มเข้าใจสิ่งที่ใครคนนั้นกล่าวกับฉัน สภาพแวดล้อมนั้นมีผลต่อรูปแบบและความเชื่อเรา การเดินทางจึงเปรียบเหมือนการที่เราได้ปิดสวิตช์ความเชื่อของตัวเองเพื่อสํารวจโลกของผู้อื่น
ดูเหมือนกับว่าฉันจะเริ่มติดใจการเดินทางซะแล้วแหละ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in